Editor's Pick ร่มนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส จะปกป้องยุโรปได้หรือไม่ ?

หลังผู้นำฝรั่งเศสเสนอให้ฝรั่งเศสเป็นร่มนิวเคลียร์ในการปกป้องยุโรปจากภัยคุกคาม แทนที่สหรัฐฯ ทำให้มีคำถามตามมาว่า ร่มนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสจะปกป้องยุโรปได้จริงหรือไม่และอย่างไร


สำนักข่าว BBC รายงานว่าในช่วงทศวรรษ 1960 ประธานาธิบดีชาลส์ เดอ โกล ของฝรั่งเศส เป็นผู้ริเริ่มนโยบายที่ฝรั่งเศสต้องมีอิสรภาพในทางยุทธศาสตร์ โดยเดอโกล ระบุว่า “อเมริกาเป็นเพื่อนเรามากกว่ารัสเซีย แต่อเมริกาก็มีผลประโยชน์มาก สักวันหนึ่ง ผลประโยชน์ของอเมริกาจะมาชนกับผลประโยชน์ของเรา”


ปัจจุบัน ในยุโรป มีเพียงฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยฝรั่งเศสมีหัวรบนิวเคลียร์เกือบ 300 หัวรบ ที่สามารถยิงได้จากเครื่องบินหรือเรือดำน้ำ ขณะที่สหราชอาณาจักรมีราว 250 หัวรบนิวเคลียร์ แต่ความต่างระหว่างสองชาติคือ คลังอาวุธของฝรั่งเศสมีอธิปไตยของตนเองเพราะพัฒนาเองทั้งหมดโดยฝรั่งเศส แต่ของอังกฤษ ยังต้องพึ่งพาทางเทคนิคจากสหรัฐฯ อยู่


เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสเผยแนวคิดว่ากองกำลังป้องปรามในยุคใหม่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งเกี่ยวกับการป้องกันชาติยุโรป


มาครงกล่าวว่า การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ของเราจะเป็นเกราะป้องกันที่สมบูรณ์ เป็นอธิปไตย และเป็นของฝรั่งเศส - และจากข้อเรียกร้องของว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฝรั่งเศสจึงพร้อมจะเปิดการพูดคุยเชิงยุทธศาตร์ในเรื่องการปกป้องพันธมิตรยุโรปด้วย "ระบบการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์" ของเรา - ซึ่งแปลความคำพูด ก็คือ พร้อมเป็นร่มนิวเคลียร์เพื่อปกป้องพันธมิตรในยุโรปนั่นเอง


ข้อเสนอของมาครง ทำให้นักการเมืองทั้งฝ่ายขวาจัดและซ้ายจัดต่างคัดค้าน เพราะกังวลว่า ฝรั่งเศสกำลังคิดที่จะแบ่งปันคลังนิวเคลียร์ให้ชาติอื่น แต่รมว.กลาโหมฝรั่งเศสยืนยัน การป้องปรามนิวเคลียร์ยังเป็นของฝรั่งเศส ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงปฏิบัติการ และจะอยู่ภายใต้การตัดสินใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส 

Editor's Pick ร่มนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส จะปกป้องยุโรปได้หรือไม่ ?

สรุปข่าว

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เสนอให้ฝรั่งเศสเป็นร่มนิวเคลียร์ปกป้องยุโรปจากภัยคุกคามแทนสหรัฐฯ ซึ่งสร้างคำถามเกี่ยวกับความสามารถในการปกป้องและการแบ่งปันอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างชาติในยุโรป โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯ อาจลดบทบาทในภูมิภาค

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สิ่งที่จะมีการหารือกัน ไม่ใช่เรื่องใครจะมีอำนาจในการกดปุ่มนิวเคลียร์ แต่จะถกกันว่า การปกป้องทางนิวเคลียร์สามารถครอบคลุมไปชาติอื่นได้หรือไม่ จากเดิมข้อกำหนดคือ เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามนิวเคลียร์ที่กระทบต่อผลประโยชน์ที่สำคัญของฝรั่งเศสเท่านั้น


ทั้งนี้ แนวคิดตั้งแต่สมัยนายพล เดอ โกล เรื่องนิวเคลียร์ค่อนข้างครอบคลุมประเทศอื่นด้วยอยู่แล้ว  เช่นในปี 1964 เดอ โกล เคยกล่าวว่า ฝรั่งเศสจะถือว่าตนเองถูกคุกคามด้วย หากสหภาพโซเวียตโจมตีเยอรมนี 


ดังนั้นพอมาครงนำเรื่องนี้มาปัดฝุ่น จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ใหม่รอบนี้คือ หลายชาติเป็นคนร้องขอมาเองด้วย อันเป็นผลพวงมาจากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จึงทำให้หลายชาติเริ่มไม่แน่ใจว่าจะยังคงพึ่งพาสหรัฐฯ เป็นหลักได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องขอการคุ้มครองจากฝรั่งเศสหรือสหราชอาณาจักรไว้ด้วย


อย่างไรก็ตาม ร่มนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสและอังกฤษ จะดำเนินการอย่างไร ยังไม่เป็นที่แน่ชัด

แต่ ปิแอร์ ฮารอช จากมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งลีล ระบุว่า หนึ่งในทางเลือกอาจจะเป็นการนำเครื่องบินของฝรั่งเศสที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ไว้ประจำการในบางประเทศ เช่น เยอรมนี หรือ โปแลนด์ โดยที่อำนาจในการกดปุ่มนิวเคลียร์อยู่ที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสทั้งหมด 

ทางเลือกอื่น อาจเป็นการอนุญาตให้เครื่องบินทิ้งระเบิดของฝรั่งเศส สามารถลาดตระเวนตามพรมแดนของยุโรปได้ หรือ การพัฒนาฐานทัพอากาศในบางประเทศที่เครื่องบินทิ้งระเบิดของฝรั่งเศสสามารถใช้งานได้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน


ทั้งนี้ จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ยังเป็นเรื่องสำคัญ คำถามคือ หัวรบนิวเคลียร์ที่ฝรั่งเศสมี ยังน้อยเมื่อเทียบกับรัสเซียที่มีมากกว่า 5000 หัวรบ แต่หากนับรวมหัวรบนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็สามารถรวมกันได้กว่า 550 หัวรบ ซึ่งไม่นับรวมกรณีที่ร่มนิวเคลียร์ของอเมริกายังคงมีอยู่ เท่ากับว่า จะมีหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ในเยอรมนี อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ด้วย


สำหรับการตีความเรื่อง “ผลประโยชน์ที่สำคัญของชาติ” ที่อยู่ในข้อกำหนดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส จำเป็นต้องตีความเพื่อให้ครอบคลุมเป็นผลประโยชน์ที่สำคัญของยุโรปหรือไม่นั้น ฮารอช ยังมองว่า ไม่จำเป็นต้องตีความใหม่ด้วยซ้ำ เพราะ หากสหรัฐฯ แสดงบทบาทน้อยลง ชาติยุโรปจะต้องพึ่งพากันมากขึ้น ยุทธศาสตร์ของยุโรปก็จะไปทางเดียวกันมากขึ้น


ฮารอช ระบุว่า ในโลกยุคใหม่นี้ เรื่องสำคัญคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความเชื่อมั่นระหว่างกัน สำหรับฝรั่งเศส ก็คือการส่งสัญญาณว่าฝรั่งเศสพร้อมที่จะแบกรับความเสี่ยงในการสนับสนุนชาติอื่น ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างแนวหน้าที่เข้มแข็งนั่นเอง


ที่มาข้อมูล : BBC

ที่มารูปภาพ : Reuters