ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 2.9% ในปี 2568 เนื่องจากไตรมาส 4/2567 เติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยการบริโภคในไตรมาสดังกล่าวตกต่ำลง แม้ว่ารัฐบาลจะแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาก็ตาม
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.9% ซึ่งต่ำกว่าที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 3%
ผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า “ผลกระทบของเงินช่วยเหลือและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยกว่าที่เราคาดไว้ มาตรการเงินช่วยเหลือที่ออกมานั้นบางครั้งถูกนำไปใช้ชำระหนี้และอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่เห็นการแปลงในแง่ของการบริโภค”
อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยยังคงเตรียมเปิดตัวโครงการ “เงินดิจิทัล” เฟสที่ 3 ในเดือน เม.ย. นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้น “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก” ในไตรมาสแรกของปี 2568
ขณะที่จุดยืนด้านนโยบายการเงินของ ธปท. นั้น ดร.เศรษฐพุฒิบอกว่า ยังคงเป็นกลางโดยทั่วไป และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับ 1.1% ในปีนี้ โดยยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย 1% ถึง 3% แต่ธนาคารกลางยังคงกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของค่าเงินบาท
นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว ธปท. ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างกะทันหันเมื่อเดือน ต.ค. 2567 โดยจะทบทวนนโยบายดังกล่าวอีกครั้งในวันที่ 26 ก.พ. ในส่วนผลกระทบจากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า การที่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น แต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อประเทศไทย
ดร.เศรษฐพุฒิยังเน้นย้ำถึงความลังเลของธปท. เกี่ยวกับข้อเสนอการใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นระบบชำระเงินทางเลือกของรัฐบาลไทย
เขาบอกว่า สกุลเงินดิจิทัลไม่มีมูลค่าที่มั่นคง เทคโนโลยีพื้นฐานไม่สามารถปรับขนาดได้มากนัก และอาจนำไปสู่ระบบการชำระเงินที่แตกแขนงออกไปได้ โดยชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล Promptpay ของไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นทำงานได้ดีและ เข้าใจว่าแรงผลักดันนั้นมาจากไหน แม้แต่ในสหรัฐฯ เราก็เห็นแรงผลักดันในเรื่องนี้ แต่ประโยชน์ของกรณีการใช้งานจะต้องชัดเจนมาก เพราะมีความเสี่ยงด้านลบในการเปลี่ยนไปใช้ระบบดังกล่าว”
สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวรอยเตอร์
ที่มารูปภาพ : TNN