มาตรการภาษีกระตุ้นความผันผวน

ต้นเหตุหลักของความผันผวนในตลาดมาจากการที่ทรัมป์ประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) และภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Baseline Tariff) เมื่อวันที่ 2 เมษายน โดยมาตรการตอบโต้มีอัตราภาษีระหว่าง 10–49% ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ขณะที่ภาษีพื้นฐานถูกกำหนดไว้ที่ 10% ทั่วโลก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา
ข่าวลือว่ารัฐบาลสหรัฐอาจชะลอการใช้ภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วันทำให้นักลงทุนมีความหวังในช่วงกลางวัน แต่เมื่อทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ดัชนีหุ้นก็ร่วงลงอีกครั้ง

สหรัฐฯ ขีดเส้นตายจีน

ทรัมป์ประกาศให้จีนยกเลิกการเก็บภาษี 34% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐภายในวันที่ 8 เมษายน มิฉะนั้นสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 50% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งยิ่งเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนในตลาด

ความผันผวนพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี

ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) หรือดัชนีวัดความกังวลของนักลงทุนในตลาดหุ้น พุ่งขึ้นทะลุระดับ 60 ก่อนปิดที่ 46.98 ซึ่งถือเป็นระดับปิดที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี สะท้อนความวิตกที่กระจายไปทั่วตลาด

กลุ่มหุ้นหลักได้รับแรงกดดัน

จากกลุ่มหุ้นในดัชนี S&P500 มีถึง 9 ใน 11 กลุ่มที่ปิดในแดนลบ นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลง 2.40% และกลุ่มวัสดุที่ลดลง 1.65% ในขณะที่กลุ่มสื่อสารและเทคโนโลยียังแสดงความแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้น 1.03% และ 0.32% ตามลำดับ

• หุ้น Apple ร่วง 3.7%
• หุ้น Tesla ลดลง 2.6%
• หุ้น Nvidia ดีดตัวขึ้นกว่า 3%
• หุ้น Amazon.com เพิ่มขึ้น 2.5%

จับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นักลงทุนให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่กำลังจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมีนาคม, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนเมษายนจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์