อภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” ปี 2568: ข้อมูลสำคัญและสิ่งที่ต้องรู้

อภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” ปี 2568: ข้อมูลสำคัญและสิ่งที่ต้องรู้


การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” กำลังเป็นประเด็นร้อนในทางการเมืองไทยในช่วงเดือนมีนาคม 2568 โดยมีกำหนดเริ่มต้นในวันที่ 24 มีนาคม 2568 และนับเป็นครั้งที่ 5 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีแบบรายบุคคล


บทความนี้จะสรุปให้คุณเข้าใจง่าย ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น กติกาคืออะไร และประเด็นไหนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ


วัน เวลา และกำหนดการอภิปราย

 • วันที่ 24 มีนาคม 2568: เริ่มต้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงเช้า

 • วันที่ 25 มีนาคม 2568: ฝ่ายค้านจะอภิปรายต่อเนื่องจนเสร็จสิ้น

 • วันลงมติ: ดำเนินการในวันถัดไปหลังจากอภิปรายจบ (ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ)


การแบ่งเวลาอภิปราย

 • ฝ่ายค้าน: ได้เวลาอภิปรายรวม 28 ชั่วโมง

 • ฝ่ายรัฐบาล: ได้สิทธิตอบโต้และอภิปรายรวม 7 ชั่วโมง

อภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” ปี 2568: ข้อมูลสำคัญและสิ่งที่ต้องรู้

สรุปข่าว

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” เริ่ม 24 มี.ค. 2568 ฝ่ายค้านเน้น 3 ประเด็นหลัก: บริหารล้มเหลว, คอร์รัปชัน, คุณสมบัตินายกฯ การลงมติต้องได้เสียงเกินครึ่ง ขณะที่ฝ่ายค้านเร่งอภิปรายก่อนปิดสมัยประชุม

ประเด็นสำคัญในการอภิปราย

 1. การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว

 • ถูกวิจารณ์ว่านโยบายหลายอย่างไม่เป็นไปตามแถลงการณ์ที่เสนอไว้

 2. ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

 • ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและความไม่โปร่งใสในโครงการภาครัฐ

 3. คุณสมบัตินายกรัฐมนตรี

 • มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญของ “แพทองธาร ชินวัตร” ทั้งเรื่องประสบการณ์และบทบาทในพรรคการเมือง


ข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญ

 • คะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ: ต้องได้ มากกว่า 250 เสียง (เกินกึ่งหนึ่งของสภา 500 เสียง)

 • ไม่สามารถยุบสภาได้: ระหว่างที่มีการอภิปราย เว้นแต่ญัตติจะถูกถอนหรือมติไม่ผ่าน


ประเด็นถกเถียงเพิ่มเติม

 • การพาดพิงบุคคลภายนอก

 • ฝ่ายรัฐบาลเรียกร้องให้ฝ่ายค้านหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงบุคคลนอกสภา ซึ่งอาจเป็นการละเมิดสิทธิ

 • กรอบเวลาอภิปราย

 • ฝ่ายค้านย้ำว่าหากไม่เริ่มภายในสมัยประชุมนี้ (ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 11 เมษายน 2568) อาจไม่มีเวลาเพียงพอในการตรวจสอบอย่างทั่วถึง

ความสำคัญในบริบทประวัติศาสตร์

การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 5 ที่นายกรัฐมนตรีไทยถูกอภิปรายแบบรายบุคคล และนับเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีหญิงถูกรัฐสภาตรวจสอบในลักษณะนี้อย่างเข้มข้นและยังมีอีก 5 ข้อในบริบทของการอภิปรายดังนี้

1. เป็นเครื่องมือควบคุมและตรวจสอบรัฐบาล

การอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นกลไกสำคอญในการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร สร้างสมดุลให้กับระบอบประชาธิปไตย และช่วยป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือการคอร์รัปชัน


2. สะท้อนความเข้มแข็งของระบบรัฐสภา

การอภิปรายไม่ไว้วางใจบ่งชี้ถึงการทำงานที่เป็นอิสระและเข้มแข็งของสภาผู้แทนราษฎรในการกำกับรัฐบาล ซึ่งแสดงถึงความสมบูรณ์ของระบบประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของฝ่ายนิติบัญญัติในการรักษาประโยชน์ส่วนรวม


3. แสดงถึงเสถียรภาพทางการเมือง

ในอดีต การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ส่งผลให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของรัฐบาลและอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลสามารถผ่านการอภิปรายนี้ไปได้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชนและเสถียรภาพในการบริหารประเทศ


4. จุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายครั้งในประวัติศาสตร์ไทยส่งผลให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญ เช่น รัฐบาลต้องลาออก มีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย หรือแม้กระทั่งนำไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ จึงถือเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบยาวนานต่อการเมืองไทย


5. สร้างบรรทัดฐานการเมืองที่โปร่งใส

เมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายรัฐบาลจำเป็นต้องชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ต่อสาธารณชนและรัฐสภา ทำให้เกิดมาตรฐานในการบริหารประเทศที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบมากขึ้นในระยะยาว


ข่าวที่อภิปรายที่น่าอ่านต่อ

ข่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 ทั้งหมด

สรุปประเด็นสำคัญ ฝ่ายค้านเปิดญัตติ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik

avatar

ยศไกร รัตนบรรเทิง
เบน