
บุหรี่ไฟฟ้า 2 สัปดาห์กับยอดจับกุมที่เทียบเท่าทั้งปี 2567
ตัวเลขที่น่าตกใจ—839 เรื่องร้องเรียน 1,078 คดี 1,104 ผู้ต้องหา และของกลางมูลค่ากว่า 118 ล้านบาท—คือผลงานการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ถึง 12 มีนาคม 2568 ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความจริงสองประการ ประการแรก "นโยบายปราบปรามที่เข้มงวดและจริงจัง" ของรัฐบาลกำลังเริ่มเห็นผล และประการที่สอง "สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยรุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด"
จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเด็นนี้ เปิดเผยหลังการประชุมมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าครั้งที่ 3 ว่าตัวเลขการจับกุมในเวลาเพียง 2 สัปดาห์นี้ "เกือบเทียบเท่าการปราบปรามตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา" แสดงให้เห็นถึงพลังของการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 20 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าว
เบื้องหลังความสำเร็จคือแผนปฏิบัติการเชิงรุกที่ครอบคลุม 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (1) การปราบปรามโดยการบังคับใช้กฎหมาย (2) การป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และ (3) การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั้งระบบ
ประเด็นที่น่าจับตามองคือการเตรียม "ยกระดับการแจ้งเบาะแสผ่านระบบออนไลน์" โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งจะเปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสการลักลอบนำเข้า ผลิต หรือจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้โดยตรงและทันที
ตัวเลขและมาตรการเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤต โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผู้ค้า แม้ตัวเลขการจับกุมจะน่าประทับใจ แต่คำถามที่ตามมาคือ "การปราบปรามอย่างเข้มข้นนี้จะสามารถลดความต้องการในตลาดได้จริงหรือไม่?" และ "จะป้องกันไม่ให้เกิดตลาดมืดและช่องทางการขายใต้ดินได้อย่างไร?"
การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด น่าจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของการปราบปรามนี้จะวัดได้จาก "การลดลงของอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน" มากกว่าตัวเลขการจับกุมที่พุ่งสูงขึ้น

Yosakrei Rat.
(yosakrei_rat)