
เมกะโปรเจ็กต์ กุญแจดันจีดีพีไทย ขยายเศรษฐกิจออกจากกรุงเทพฯ?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า "เมกะโปรเจ็กต์" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เคยกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดการกระจุกตัวของการเจริญเติบโตในกรุงเทพฯ

สรุปข่าว
ทำไมไทยต้องลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์?
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพียง 1.9% ซึ่งต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามที่เติบโตเร็วกว่าสองเท่า เหตุผลหลักคือการขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา โครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่สำคัญมีเพียงสนามบินสุวรรณภูมิ และไม่มีโครงการใหม่ ๆ ในระดับเดียวกันเกิดขึ้นเลย
อดีตนายกฯ เศรษฐาเคยชี้ให้เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เรื้อรังมานาน เช่น ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ระบบขนส่งที่ล้าหลัง และการกระจายการพัฒนาเศรษฐกิจออกจากเมืองหลวง
4 ประเด็นหลักของเมกะโปรเจ็กต์
- ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ: การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในการดึงดูดธุรกิจใหม่ เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานสูง
- แก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง: รัฐบาลจำเป็นต้องลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำระยะยาว เช่น การสร้างเขื่อน คลองระบายน้ำ หรือแม้แต่โครงการถมทะเลเพื่อลดความเสี่ยงของน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญ
- ขยายเศรษฐกิจออกจากกรุงเทพฯ: โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น สนามบินใหม่ รถไฟความเร็วสูง และโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อกันดีขึ้น จะช่วยกระจายความเจริญไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจในพื้นที่ใหม่ ๆ
- เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว: ไทยสามารถเพิ่ม "ระยะเวลาพำนัก" ของนักท่องเที่ยวได้ หากมีระบบขนส่งที่สะดวก ทำให้สามารถเดินทางไปยังเมืองรองได้ง่ายขึ้น เป้าหมายคือขยายระยะเวลาพำนักเฉลี่ยจาก 3 วันเป็น 10 วันเหมือนประเทศฝรั่งเศสหรืออิตาลี
แหล่งเงินทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
อดีตนายกฯ เศรษฐา เคยเสนอแนวทางการจัดหาเงินทุน 3 วิธี ได้แก่
- การปรับเพดานหนี้สาธารณะ: ไทยมีเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ของ GDP ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60-65% หากขยับขึ้นตามแนวทางของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นที่มีหนี้สาธารณะสูงถึง 200% อาจช่วยให้รัฐสามารถลงทุนเพิ่มได้
- การออกตราสารหนี้และดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ: ประเทศสามารถใช้กลไกทางการเงิน เช่น พันธบัตรโครงสร้างพื้นฐาน หรือการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ
- การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA): ไทยมีทรัพยากรแก๊สธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนมูลค่ากว่า 20 ล้านล้านบาท หากสามารถเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแบ่งผลประโยชน์ อาจทำให้ไทยได้รับเงินทุนสูงถึง 10 ล้านล้านบาทมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจ
“แก๊สเหล่านี้จะกลายเป็นพลังงานล้าสมัยในอีก 10 ปีข้างหน้า หากไทยไม่รีบตัดสินใจเจรจา อาจสูญเสียโอกาสสำคัญไป” - เศรษฐา ทวีสิน
อสังหาริมทรัพย์ ต้องปรับตัวอย่างไร?
ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแนวโน้มประชากรที่ลดลง อดีตนายกฯ เศรษฐา เคยเตือนว่า ภาคธุรกิจต้องเน้น การบริหารกระแสเงินสด อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ควรพึ่งพาการพรีเซลล์มากเกินไป เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด
นอกจากนี้ แนวโน้มประชากรโลกที่ลดลง เช่น จีน ซึ่งมีประชากรลดลงจาก 1,250 ล้านคน เหลือ 750 ล้านคน ในอนาคต ย่อมส่งผลถึงตลาดไทยเช่นกัน คาดว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรเหลือเพียง 37 ล้านคน ซึ่งอาจทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่โดยเน้นที่ "คุณภาพ" มากกว่า "ปริมาณ"
“ประเทศไทยต้องสร้างสังคมที่คนมั่นใจในการมีลูก ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างอนาคตที่คนรุ่นใหม่เชื่อมั่น” - เศรษฐา ทวีสิน
เมกะโปรเจ็กต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทย หากไทยสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการจัดหาแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน อาจช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่าที่ผ่านมา และขยายความเจริญออกจากกรุงเทพฯ ได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือ การบริหารจัดการนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจที่รวดเร็ว และความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ หากไทยสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จ เมกะโปรเจ็กต์อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้จริง
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง จากพรรคเพื่อไทย
ที่มารูปภาพ : เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin

Yosakrei Rat.
(yosakrei_rat)