เช็กหูของคุณ ได้ยินไหม? หรือ ได้ยินลดลง? สัญญาณเสี่ยงเป็น “โรคหูตึง”

         องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ในวันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี เป็น "วันการได้ยินโลก" เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันความพิการทางหูและการสูญเสียการได้ยิน ตลอดจนส่งเสริมการดูแลหูและการได้ยินทั่วโลก โดยในประเทศไทย ข้อมูลจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พบว่าผู้พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายในปัจจุบัน อยู่ที่ 418,612 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย.2567) ทำให้หลายหน่วยงานร่วมรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมการดูแลสุขภาพหู เนื่องใน "วันการได้ยินโลก World Hearing Day 2025"

          ทีมแพทย์เฉพาะทางโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์และนักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย ร่วมเสวนาให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพหูและการได้ยิน ในหัวข้อ เพราะการได้ยินมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในทุกช่วงวัย “รักษ์หู...ใส่ใจการได้ยิน” นำโดย พญ.พิลาสลักษณ์ นำชัยชนะกิจ หัวหน้างานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พญ.วิชชุดา เทียมพยุหา แพทย์เฉพาะทางด้านโสตประสาทการได้ยินและการทรงตัว พร้อมด้วยคุณพิมพิมล สีแสงหน่อม นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย ร่วมเวทีเสวนา Changing Mindsets เปิดใจรับฟัง “เข้าใจ....ต่างวัย” ณ ชั้น 1 อาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

         

        อาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหูตึง

        พญ.วิชชุดา เทียมพยุหา แพทย์เฉพาะทางโสตประสาทการได้ยินและการทรงตัว กล่าวถึง ภาพรวมของสุขภาพหู และสาเหตุความผิดปกติทางการได้ยิน พร้อมข้อแนะนำการดูแลสุขภาพหูอย่างถูกวิธีว่า  ความผิดปกติทางการได้ยินเกิดจากสาเหตุ  อาทิ สิ่งแปลกปลอมอุดตันในรูหู หูน้ำหนวก แก้วหูทะลุ โรคหูดับเฉียบพลัน โรคมีเนียร์ โรคหูตึงเมื่ออายุมากขึ้น ทั้งนี้ หากรู้สึกได้ว่าการได้ยินลดลง หูอื้อ แน่นในหูตลอดเวลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ อาการเหล่านี้ เป็นสาเหตุบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหูตึง โดยหากมีอาการรู้สึกได้ยินลดลง ควบคู่กับการติดเชื้อในหู เช่น หูน้ำหนวก มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับการได้ยินได้รับอุบัติเหตุกระทบกระแทกที่หูหรือศีรษะ มีโรคประจำตัว เช่น วัณโรค เอชไอวี ซิฟิลิส โรคความผิดปกติทางภูมิคุ้มกัน มีอาการปวดหู มีหนองหรือเลือดไหลออกจากหู รู้สึกได้ยินลดลงแบบเฉียบพลัน หรือมีอาการเวียนศีรษะแบบเฉียบพลันเป็นๆ หายๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที  การดูแลสุขภาพหูอย่างถูกวิธี ไม่ควรแคะหูเนื่องจากมีความเสี่ยงอาจทำให้หูอื้อหรือการอักเสบติดเชื้อ เกิดแผลถลอก ส่งผลให้ช่องหูเกิดการตีบแคบและการได้ยินลดลงได้ สำหรับการป้องกันการเกิดโรคประสาทหูเสื่อม กรณีผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีเสียงดัง ควรใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น earplugs หรือ earmuffs  ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิดซึ่งเป็นพิษต่อหู เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม aminoglycoside ยาต้านอักเสบในกลุ่มNSAIDs งดรับประทานเนื้อหมูดิบ เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียในเนื้อหมูดิบ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และทำให้เกิดหูชั้นในอักเสบและหูหนวกตามมา”

    

เช็กหูของคุณ ได้ยินไหม? หรือ ได้ยินลดลง? สัญญาณเสี่ยงเป็น “โรคหูตึง”

สรุปข่าว

“ความผิดปกติทางการได้ยินเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ สิ่งแปลกปลอมอุดตันในรูหู หูน้ำหนวก แก้วหูทะลุ โรคหูดับเฉียบพลัน โรคมีเนียร์ โรคหูตึงเมื่ออายุมากขึ้น ทั้งนี้ หากรู้สึกได้ว่าการได้ยินลดลง หูอื้อ แน่นในหูตลอดเวลา หรือ เป็น ๆ หาย ๆ อาการเหล่านี้ เป็นสาเหตุบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหูตึง โดยหากมีอาการรู้สึกได้ยินลดลง ควบคู่กับการติดเชื้อในหู เช่น หูน้ำหนวก มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับการได้ยินได้รับอุบัติเหตุกระทบกระแทกที่หูหรือศีรษะ มีโรคประจำตัว เช่น วัณโรค เอชไอวี ซิฟิลิส โรคความผิดปกติทางภูมิคุ้มกัน มีอาการปวดหู มีหนองหรือเลือดไหลออกจากหู รู้สึกได้ยินลดลงแบบเฉียบพลัน หรือมีอาการเวียนศีรษะแบบเฉียบพลันเป็นๆ หายๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที”

         สิทธิ์ประกันสังคม-ข้าราชการ-บัตรทอง เบิกจ่าย “เครื่องช่วยฟัง”

          ด้าน คุณพิมพิมล สีแสงหน่อม นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย กล่าวถึง สถานการณ์โรคหูตึงในปัจจุบันและสิทธิ์การเบิกจ่าย "เครื่องช่วยฟัง" ว่า ผู้ที่มีอาการหูตึงสามารถเบิกจ่ายเครื่องช่วยฟัง ตามสิทธิ์การรักษาได้ โดยแยกตามสิทธิ์ของตน คือ สิทธิ์ประกันสังคม สามารถเบิกค่าเครื่องช่วยฟังแบบแขวนหลังหูได้ ข้างละ 12,000 บาท หรือ แบบใส่ในช่องหูได้ข้างละ 12,500 บาท สิทธิ์ข้าราชการเบิกค่าเครื่องช่วยฟังได้ ข้างละ 13,500 บาท รวมสองข้าง 27,000 บาท ขั้นตอนการขอรับสิทธิ์ คือ เข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากรพ.ของรัฐ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าประสาทหูเสื่อมและจำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยฟัง สามารถซื้อได้โดยตรงจากโรงพยาบาลที่มีเครื่องจำหน่าย สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจ สิทธิ์และขั้นตอนการเบิกจ่ายขึ้นอยู่กับระเบียบของแต่ละหน่วยงาน ส่วนสิทธิ์บัตรทอง ต้องเป็นผู้สูญเสียการได้ยินทั้ง 2 ข้าง และมีการได้ยินที่ยังคงเหลืออยู่ ในหูข้างที่ได้ยินตั้งแต่ 40 เดซิเบลขึ้นไป หลังสิ้นสุดการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด 

           


          การได้ยินที่ถูกต้องชัดเจนทำให้ครอบครัวมีการสื่อสารกันที่ดี

          พญ.พิลาสลักษณ์ นำชัยชนะกิจ หัวหน้างานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และ ดีเจพี่อ้อย-นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล แห่ง Club Friday ได้ร่วมเสวนา Changing Mindsets เปิดใจรับฟัง “เข้าใจ.... ต่างวัย” โดยร่วมแชร์ประสบการณ์จากการตรวจรักษาคนไข้สูงวัยและปัญหาการได้ยิน รวมถึงแนวทางการปรับมุมมองของคนต่างวัยในครอบครัวที่พบปัญหาการได้ยินในกรณีผู้ป่วยสูงวัย ทั้งนี้ หากสงสัยว่ามีอาการหูได้ยินน้อยลง ได้ยินไม่ชัด ควรรีบปรึกษาแพทย์ และเช็กอาการว่าเข้าเกณฑ์ที่ควรใส่เครื่องช่วยฟังหรือไม่ เพราะหากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ได้ยินชัดเจนขึ้นแล้ว ยังทำให้ป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์หรือภาวะความจำเสื่อมได้ อนึ่ง เพราะการได้ยินมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในทุกช่วงวัย การได้ยินที่ถูกต้องชัดเจนทำให้ครอบครัวมีการสื่อสารกันที่ดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน เป็นวัยที่ต้องการความรักและเอาใจใส่ การได้ยินที่ชัดเจนทำให้พูดคุยกันมากขึ้นและเข้าใจกันมากขึ้นด้วย



          โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นอีกหน่วยงานที่ได้รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ส่งเสริมการดูแลสุขภาพหู เนื่องใน "วันการได้ยินโลก World Hearing Day 2025" ภายใต้ธีม Changing Mindsets : Empower Yourself Make ear and hearing care a reality for all  เปลี่ยนทัศนคติ ร่วมสร้างพลังให้ตนเองเพื่อให้การดูแลหูและการได้ยินเป็นจริงสำหรับทุกคน” โดย รศ.พญ.ชนิสาโชติพานิช รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ความรู้และการดูแลเชิงป้องกัน รวมถึงกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหูและการได้ยิน ตลอดจนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม ตามพระปณิธานของศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และองค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพหูและการได้ยิน และเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อปกป้องการได้ยินจากเสียงดังและป้องกันการสูญเสียการได้ยิน พร้อมทั้งหมั่นตรวจสอบการได้ยินเป็นประจำ 

           สำหรับ คลินิกโสต ศอ นาสิก ลาริงซ์วิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางหู คอและจมูก ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา การรักษาด้วยยา รวมถึงการผ่าตัด โดยทีมโสต ศอ นาสิก แพทย์เฉพาะทางโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พร้อมด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการให้บริการที่ครอบคลุม ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคทั่วไปทางหู คอ จมูก โรคจมูกภูมิแพ้และผ่าตัดส่องกล้องไซนัส โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบ ครอบคลุมถึงการผ่าตัดผ่านกล้องในโพรงจมูก โรคมะเร็งบริเวณกล่องเสียง ศีรษะและลำคอ ให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีเนื้องอกและมะเร็งของบริเวณช่องปาก กล่องเสียง ไทรอยด์และต่อมน้ำลาย ตรวจรักษาระบบการได้ยินและการทรงตัว ความผิดปกติของการได้ยิน การฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินและการใส่เครื่องช่วยฟัง รวมถึงตรวจรักษาอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือทำนัดหมาย ได้ที่ 02 576 6815 , 0 2576 6851


เรียบเรียงโดย : กาญธิกา อังคณิต




avatar

Kanthika mrean Angkhanit
(Kanthika)