
"วิกฤตข้าวไทย" ราคาดิ่งสู่จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี รัฐเร่งแก้ไขปัญหา
ราคาข้าวที่ตกต่ำลงอย่างรุนแรงในปี 2568 กำลังสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรไทยอย่างหนัก จากเดิมที่ราคาเคยพุ่งแตะ 14,700 บาทต่อตันในปี 2567 กลับร่วงลงมาเหลือเพียง 7,000-8,000 บาทต่อตันในปัจจุบัน สถานการณ์นี้ทำให้รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
หากย้อนดูราคาข้าวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าราคาข้าวมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 ราคาข้าวเปลือกเจ้าอยู่ที่ระดับสูงถึง 12,500-13,000 บาทต่อตัน และเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 10,000-11,000 บาทต่อตันในปี 2558 จากนั้นก็ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 7,500-8,500 บาทต่อตันในปี 2564 ก่อนจะมีการฟื้นตัวขึ้นในปี 2567 ที่ราคาพุ่งสูงถึง 14,700 บาทต่อตัน แต่กลับดิ่งลงอย่างรวดเร็วในปี 2568
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาข้าวตกต่ำในครั้งนี้มาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดียที่ทำให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้นตลาด ประกอบกับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ชะลอการนำเข้า ขณะที่เวียดนามก็เสนอขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าไทย ทำให้ข้าวไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน
จากวิกฤตราคาข้าวที่ตกต่ำ ทำให้กลุ่มเกษตรกรชาวนาจาก 7 จังหวัดในภาคกลาง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท และปทุมธานี กว่า 200 คน ต้องรวมตัวกันเดินทางมายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ โดยขอให้มีการประกันราคาข้าวที่ 11,000 บาทต่อตัน ไม่เกิน 50 ตันต่อราย หรือดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในราคาเดียวกัน พร้อมขอเงินชดเชย 300 บาทต่อไร่ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับเกษตรกรในพื้นที่รับน้ำ
รัฐบาลนำโดยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้เรียกประชุมด่วนกับทีมเศรษฐกิจ โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรฯ เข้าร่วมหารือ จนได้ข้อสรุปเป็น 7 มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา ประกอบด้วย การเปิดตลาดนัดข้าวเปลือกใน 20 จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดว่าจะช่วยดันราคาขึ้น 100-200 บาทต่อตัน การผลักดันการส่งออกไปแอฟริกาใต้ 300,000 ตัน มูลค่า 5,250 ล้านบาท การเจรจาการค้าแบบรัฐต่อรัฐกับจีน 280,000 ตัน การสนับสนุนสินเชื่อพิเศษผ่าน EXIM BANK การจัดงาน Thailand Rice Convention เพื่อส่งเสริมการตลาด การมุ่งเปิดตลาดใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการขยายตลาดในฟิลิปปินส์

สรุปข่าว
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้วิเคราะห์ว่า ปัญหาสำคัญของข้าวไทยคือการผลิตที่เกินความต้องการภายในประเทศ โดยไทยผลิตข้าวได้ถึง 20 ล้านตัน แต่มีความต้องการบริโภคในประเทศเพียง 10 ล้านตัน ทำให้ต้องพึ่งพาการส่งออก ซึ่งทำให้ราคาข้าวไทยขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดโลก เมื่อเจอคู่แข่งอย่างอินเดียและเวียดนาม ประกอบกับประเทศคู่ค้าชะลอการนำเข้า จึงส่งผลให้ราคาตกต่ำลงอย่างรุนแรง
การแก้ไขปัญหาในระยะยาว จำเป็นต้องมองให้ไกลกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยต้องพิจารณาการปรับโครงสร้างการผลิตข้าวไทยให้สมดุลกับความต้องการ การพัฒนาคุณภาพข้าวให้แข่งขันได้ในตลาดโลก และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทย เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน
ขณะนี้รัฐบาลประเมินว่า จะต้องดูดซับข้าวประมาณ 1.5-2 ล้านตัน และกำลังเร่งผลักดันมาตรการช่วยเหลือเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ทันกับช่วงที่ข้าวพันธุ์ดีของไทยจะออกสู่ตลาดในเดือนมีนาคม โดยทุกมาตรการจะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและโปร่งใส เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง
คำถามสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิดคือ ทำอย่างไรจึงจะสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตและความต้องการ ควรปรับโครงสร้างการผลิตข้าวไทยอย่างไร และจะพัฒนาคุณภาพข้าวไทยให้แข่งขันในตลาดโลกได้อย่างไร เพื่อให้ "ข้าว" ซึ่งเป็นทั้งพืชเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนไทย ยังคงเป็นความหวังและที่พึ่งของเกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน