วิกฤตน้ำลำตะคอง บทเรียนสำคัญของการบริหารจัดการน้ำในอนาคต

เมื่อมองไปที่อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ในวันนี้ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือผืนดินแตกระแหงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และแนวถนนมิตรภาพสายเก่าที่โผล่พ้นน้ำทอดยาว ณ บริเวณบ้านท่างอย ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง เป็นภาพที่สะท้อนวิกฤตน้ำที่กำลังเผชิญได้อย่างชัดเจน ด้วยปริมาณน้ำเก็บกักที่เหลือเพียง 71.36 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 22.69% และน้ำใช้การได้เพียง 48.64 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 16.67% เท่านั้น


"จุดเปลี่ยนสำคัญ" ของวิกฤตครั้งนี้เริ่มต้นจากปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเพียง 81 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 31% ของค่าเฉลี่ยระยะยาว นับเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 55 ปี นับตั้งแต่มีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำตะคอง เมื่อเทียบกับสถิติย้อนหลัง ไม่ว่าจะเป็นปี 2535 ที่มีน้ำไหลลง 86 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือปี 2566 ที่มี 114 ล้านลูกบาศก์เมตร ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ


วิกฤตน้ำลำตะคอง บทเรียนสำคัญของการบริหารจัดการน้ำในอนาคต

สรุปข่าว

วิกฤตน้ำลำตะคองทำสถิติใหม่ ปริมาณน้ำต่ำสุดในรอบ 55 ปี เหลือน้ำใช้การเพียง 16% กระทบชาวบ้าน-เกษตรกร เร่งวางแผนบริหารจัดการน้ำรับมือภัยแล้ง พร้อมเดินหน้าขุดลอกเพิ่มความจุ

"ผลกระทบ" จากวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขทางสถิติ แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านอย่างนายบุญหลาย โอบโคกสูง ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการจับปลา เนื่องจากระดับน้ำที่ลดต่ำลงทำให้ปลาว่ายลึกเข้าไปในอ่าง ไม่มีที่หลบอาศัยตามกอวัชพืชริมฝั่งเหมือนในอดีต ส่งผลให้การจับปลาแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานขึ้นและได้ปริมาณน้อยลง แม้ว่าปลาธรรมชาติจะยังเป็นที่ต้องการของตลาดด้วยรสชาติที่อร่อยกว่าปลาเลี้ยง และมีราคาดีที่กิโลกรัมละ 80 บาท แต่รายได้โดยรวมก็ลดลงอย่างมาก จนหลายคนต้องปรับตัวหันไปงมหอยขมขายแทนในราคากิโลกรัมละ 40 บาท สะท้อนให้เห็นการปรับตัวของชุมชนท่ามกลางวิกฤต

"การบริหารจัดการ" ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง ภายใต้การนำของนายสุคนธ์ เต็มยศยิ่ง ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมและประณีต โดยจัดลำดับความสำคัญให้กับการผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภค-บริโภคเป็นอันดับแรก ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เมืองนครราชสีมา และเฉลิมพระเกียรติ ตามด้วยการรักษาระบบนิเวศ การเกษตรในเขตชลประทาน และภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายให้มีน้ำใช้ไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568


"มองไปข้างหน้า" วิกฤตครั้งนี้นำมาซึ่งคำถามสำคัญหลายประการที่สังคมต้องร่วมกันคิดและหาคำตอบ: นี่เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราวหรือเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว? เราจะเตรียมความพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตที่อาจรุนแรงขึ้นได้อย่างไร? จะสร้างสมดุลระหว่างความต้องการใช้น้ำที่หลากหลายและขัดแย้งกันได้อย่างไร? และที่สำคัญ เราจะพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้อย่างไร?

"แนวทางการแก้ไข" ในระยะยาว มีแผนการขุดลอกตะกอนดินในอ่างเก็บน้ำลำตะคองระหว่างปี 2568-2570 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มความจุได้อีก 3-4 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายมาตรการที่จำเป็น การรับมือกับวิกฤตน้ำในอนาคตต้องอาศัยการบูรณาการหลายด้าน ทั้งการพัฒนาระบบเก็บกักน้ำ การใช้เทคโนโลยีในการพยากรณ์และบริหารจัดการ การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ และการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่น

วิกฤตน้ำลำตะคอง ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นความท้าทายในปัจจุบัน แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการวางแผนบริหารจัดการน้ำในอนาคต ที่ต้องคำนึงถึงทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้ เพราะน้ำไม่ใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นสายใยแห่งชีวิตที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนของสังคมเข้าด้วยกัน

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : TNN