พลิกสถานการณ์! หม่อง ชิตตู่ ร่วมไทย ช่วยเหยื่อ 2 พันคน

ท่ามกลางวิกฤตการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังสร้างความเสียหายให้กับผู้คนจำนวนมาก เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจาก "พันเอกหม่อง ชิตตู่" ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง หรือ BGF ที่ตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยไทยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งถูก DSI เตรียมออกหมายจับในคดีค้ามนุษย์

จุดเปลี่ยนครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยใช้มาตรการแข็งด้วยการตัดไฟฟ้าและห้ามส่งน้ำมันเข้าพื้นที่ชายแดน ซึ่งกระทบโดยตรงกับธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี ทำให้หม่อง ชิตตู่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ โดยส่งสารถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยอย่างเต็มที่

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของหม่อง ชิตตู่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มีการลงมือทำจริง โดยสั่งการให้กองกำลัง BGF บุกเข้าตรวจค้นอาคารต่างๆ ในเมืองชเวโก๊กโก่ ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนสามารถช่วยเหลือเหยื่อได้กว่า 2,000 คน และเตรียมส่งตัวกลับประเทศผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2


พลิกสถานการณ์! หม่อง ชิตตู่ ร่วมไทย ช่วยเหยื่อ 2 พันคน

สรุปข่าว

ประวัติของหม่อง ชิตตู่ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักปรับตัวตัวยง เคยเปลี่ยนจากผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (DKBA) มาเป็นพันธมิตรกับกองทัพเมียนมา และล่าสุดในเดือนมกราคม 2567 ก็ประกาศตัดขาดจากกองทัพเมียนมา แต่สุดท้ายก็กลับไปร่วมมือกับกองทัพเมียนมาอีกครั้งในเดือนเมษายนปีเดียวกัน

ฝ่ายไทยตอบรับความร่วมมือครั้งนี้ในเชิงบวก โดยนายภูมิธรรมกล่าวขอบคุณและเน้นย้ำว่าเป้าหมายสำคัญคือการกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปจากชายแดน โดยไม่ได้พูดถึงประเด็นหมายจับที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้น้ำหนักกับการแก้ปัญหาในภาพรวมมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่ที่รออยู่คือการทำให้ความร่วมมือครั้งนี้เกิดผลอย่างยั่งยืน เพราะปัญหาในพื้นที่ชายแดนไม่ได้มีแค่เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ยังมีทั้งการค้ามนุษย์ ยาเสพติด และธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ต้องได้รับการแก้ไขไปพร้อมกัน

การพลิกบทบาทของ หม่อง ชิตตู่ ครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ปัญหาที่ชายแดน สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีความขัดแย้งหรือปัญหาในอดีต แต่เมื่อทุกฝ่ายมุ่งเป้าไปที่การขจัดภัยคุกคามอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะนำไปสู่ความสงบสุขที่ยั่งยืนในพื้นที่ชายแดนอย่างแท้จริง

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : Freepik