ลูกฉันเป็นคนดี...แล้วจริงหรือ? มุมมองความเป็น "คนดี" ในสายตาพ่อแม่และสังคม

"ลูกฉันเป็นคนดี...แล้วจริงหรือ?" มุมมองความเป็น "คนดี" ในสายตาพ่อแม่และสังคม

"ลูกฉันเป็นคนดี" ประโยคที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง คำพูดที่สะท้อนทั้งความรักและความเชื่อมั่นของพ่อแม่ที่มีต่อลูก แต่ในหลายครั้ง คำพูดนี้กลับถูกนำมาใช้เป็นเกราะกำบังความผิด โดยเฉพาะในยามที่ลูกก้าวพลาด หรือกระทำการอันเป็นภัยต่อผู้อื่นและสังคม ราวกับว่าคำว่า "เป็นคนดี" จะสามารถลบล้างความผิดทั้งปวงให้หายไปได้ แต่เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ้างไหมว่า แท้จริงแล้ว "คนดี" ในความหมายของพ่อแม่ กับ "คนดี" ในสายตาสังคม นั้นสอดคล้องกันหรือไม่?

เมื่อย้อนดูเหตุการณ์ในสังคมที่ผ่านมา เราจะพบภาพที่คล้ายคลึงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของพ่อแม่ที่ออกมาปกป้องลูกด้วยน้ำตาและคำพูดว่า "ลูกฉันเป็นเด็กดี ไม่เคยสร้างปัญหา" แม้ว่าจะมีหลักฐานและพยานแวดล้อมที่ชี้ชัดถึงการกระทำผิด ความรักและความเชื่อมั่นในตัวลูกได้กลายเป็นม่านบังตาที่ปิดกั้นการมองเห็นความจริง จนบางครั้งทำให้ละเลยความรู้สึกของผู้ที่ได้รับผลกระทบและสังคมโดยรวม

สิ่งที่น่าพิจารณาคือ "เด็กดี" ที่พ่อแม่เห็นภายในบ้าน อาจเป็นคนละคนกับ "ตัวตนจริง" ที่แสดงออกในโลกภายนอก เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมและอิทธิพลรอบข้าง การที่ลูกเชื่อฟังพ่อแม่ ช่วยงานบ้าน หรือเรียนเก่ง ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเขาจะรักษาพฤติกรรมเช่นนั้นเมื่ออยู่ในสังคมภายนอก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดัน การยั่วยุ หรือการท้าทายจากกลุ่มเพื่อน

ลูกฉันเป็นคนดี...แล้วจริงหรือ?  มุมมองความเป็น "คนดี" ในสายตาพ่อแม่และสังคม

สรุปข่าว

วิเคราะห์ปรากฏการณ์ "ลูกฉันเป็นคนดี" คำกล่าวที่สะท้อนความรักของพ่อแม่ แต่บางครั้งกลับกลายเป็นเกราะกำบังความผิด เมื่อความรักและความเชื่อมั่นปิดกั้นการมองเห็นความจริง สังคมจึงต้องทบทวนนิยามคำว่า "คนดี" ใหม่

ในยุคที่โลกออนไลน์มีอิทธิพลสูง เราได้เห็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงของเยาวชนเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่การรังแกกันบนโลกออนไลน์ การท้าทายกฎหมาย ไปจนถึงการใช้ความรุนแรง น่าแปลกที่หลายครั้งผู้กระทำผิดกลับมาจากครอบครัวที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ มีความอบอุ่น มีฐานะดี และพ่อแม่ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเลือกที่จะก้าวพลาด?

การเลี้ยงลูกให้เป็น "คนดี" ที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่เพียงการปกป้องหรือปิดหูปิดตาเมื่อลูกทำผิด แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้แข็งแรง สอนให้เขารู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เข้าใจถึงผลที่จะตามมา และกล้าที่จะยอมรับความผิดพลาด เพราะ "คนดี" ไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่เคยทำผิด แต่คือคนที่รู้จักสำนึกผิด กล้าขอโทษ และพร้อมที่จะแก้ไขตัวเองเมื่อพลาดพลั้ง

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกเข้าใจคือ การยอมรับผิดไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การปฏิเสธความรับผิดชอบต่างหากที่น่าละอาย การปกป้องลูกในทางที่ผิดไม่ได้ช่วยให้เขาเติบโตเป็นคนดี แต่กลับเป็นการบ่มเพาะนิสัยเอาแต่ได้ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และอาจนำไปสู่การกระทำผิดที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นในอนาคต

ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องทบทวนมุมมองเรื่อง "ความดี" ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง พ่อแม่ต้องกล้าที่จะถอดแว่นตาสีชมพูออก มองความจริงตรงหน้า และยอมรับว่าลูกของเราก็มีข้อบกพร่อง มีความผิดพลาดได้เช่นเดียวกับคนอื่น เมื่อลูกทำผิด แทนที่จะรีบออกมาปกป้องด้วยคำว่า "ลูกฉันเป็นคนดี" ลองเปลี่ยนมาเป็นการพูดคุย รับฟัง และร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่าหรือไม่?

เพราะการเป็น "คนดี" ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือได้มาเพราะการประกาศของพ่อแม่ แต่เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ วันแล้ววันเล่า ในทุกย่างก้าวของชีวิต

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : Freepik