ส่องเป้าหมาย FTA ไทย-EU ปูทางสู่ตลาดการค้าโลก 53 ประเทศ

ความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู: เร่งเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

"ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์" ของไทยในการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ EFTA เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปิดประตูการค้าสู่ตลาดยุโรป โดยมีนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นสักขีพยานในการลงนาม สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 ไทยเคยร่วมกับอาเซียนในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป แต่การเจรจาต้องหยุดชะงักลงในปี 2552 เนื่องจากความแตกต่างในระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิกอาเซียน ทำให้ไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปได้ หลังจากนั้น สหภาพยุโรปจึงปรับแนวทางมาเจรจาแบบทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีความพร้อม

"จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ" เกิดขึ้นเมื่อไทยและสหภาพยุโรปเริ่มการเจรจา FTA ระหว่างกันในปี 2556 แต่ก็ต้องชะลอการเจรจาไปในปี 2557 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย จนกระทั่งล่าสุด รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเร่งรัดการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568

"ความสำเร็จล่าสุด" กับกลุ่ม EFTA ที่ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเจาะตลาดยุโรป โดยคาดว่าจะช่วยให้ GDP ของไทยขยายตัวร้อยละ 0.179 ต่อปี พร้อมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าสำคัญ อาทิ สินค้าเกษตร รถยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป


"ทำไมต้องเร่งทำ FTA กับสหภาพยุโรป?" คำถามนี้มีคำตอบที่น่าสนใจหลายประการ

ประการแรก สหภาพยุโรปเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง ปัจจุบันเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยในปี 2566 การค้าระหว่างไทย-อียูมีมูลค่าสูงถึง 41,712.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 1.75 จากปีก่อนหน้า 

ประการที่สอง การแข่งขันในภูมิภาคที่ทวีความเข้มข้น เนื่องจากเวียดนามและสิงคโปร์ได้ทำ FTA กับสหภาพยุโรปไปแล้ว ทำให้ไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ประการที่สาม ผลการศึกษาชี้ว่าหากการเจรจาประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ GDP ของไทยขยายตัวถึงร้อยละ 1.28 ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการทำ FTA กับกลุ่มเอฟต้าอย่างมีนัยสำคัญ


"มองไปข้างหน้า" ในปี 2568 นี้ ไทยตั้งเป้าจะปิดดีล FTA อีกหลายฉบับ นอกเหนือจาก EU ยังมีอาเซียน-แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ และภูฏาน ซึ่งหากสำเร็จทั้งหมด จะทำให้ไทยสามารถเปิดประตูการค้าได้มากถึง 53 ประเทศ จากปัจจุบันที่มี FTA 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ

"ความท้าทายที่รออยู่" แม้การเจรจากับสหภาพยุโรปจะมีความซับซ้อนมากกว่าการเจรจากับเอฟต้า แต่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และทีมเจรจามีแผนเดินทางไปพบกรรมาธิการยุโรปด้านการค้าที่กรุงบรัสเซลส์ในเร็วๆ นี้ เพื่อผลักดันการเจรจาให้บรรลุผลตามเป้าหมาย

ความสำเร็จในการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปจะเป็น "กุญแจสำคัญ" ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต

ส่องเป้าหมาย FTA ไทย-EU ปูทางสู่ตลาดการค้าโลก 53 ประเทศ

สรุปข่าว