"สมรสเท่าเทียม" กระสุนนัดใหม่แห่งการท่องเที่ยวไทย

เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ เปิดโอกาสให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย พร้อมรับสิทธิและการคุ้มครองเทียบเท่าคู่สมรสต่างเพศ ความก้าวหน้านี้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย ต่อจากไต้หวันและเนปาล ที่มีกฎหมายรับรองสิทธิสมรสเท่าเทียม ซึ่งส่งผลให้ไทยโดดเด่นจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ออกมาแสดงความยินดีต่อความสำเร็จครั้งนี้ พร้อมเน้นย้ำถึงจุดยืนของรัฐบาลว่า "ประเทศไทยโอบรับความรักทุกรูปแบบ ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เพราะความแตกต่างไม่ใช่ข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติ" การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่เป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งความเสมอภาค แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ

"สมรสเท่าเทียม" กระสุนนัดใหม่แห่งการท่องเที่ยวไทย

สรุปข่าว

การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าทางสังคมและสิทธิมนุษยชน แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมชื่อเสียงของไทยในเวทีโลก ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง

“สมรสเท่าเทียม” เปิดประตูสู่การท่องเที่ยวสีรุ้ง สร้างงาน - สร้างรายได้มหาศาล

อโกด้า (Agoda) ผู้ให้บริการสำรองห้องพักออนไลน์ เปิดเผยว่าการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยจะช่วยส่งเสริม "การท่องเที่ยวสีรุ้ง" (Rainbow Tourism) โดยคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนต่อปี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี


นอกจากนี้ การสนับสนุนจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะช่วยสร้างงานเต็มเวลาราว 152,000 ตำแหน่ง และมีส่วนช่วยในการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในสัดส่วน 0.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทยมีโอกาสที่จะขยายส่วนแบ่งในตลาดการท่องเที่ยว LGBTQ ระดับโลก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และคิดเป็น 10% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

"งานแต่งในฝัน เป็นจริงได้ที่ไทย ดินแดนแห่งความรักหลากสี”

การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยยกระดับชื่อเสียงของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับคู่รักทุกเพศจากทั่วโลก ทิโมธี ฮิวจ์ รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กรของอโกด้า กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIA+ อยู่แล้ว และเราคาดว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมจะช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของไทยในฐานะตัวเลือกการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมและไร้การแบ่งแยก"

อโกด้ายังระบุว่า หลายจังหวัดในประเทศไทยมีศักยภาพที่จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการแต่งงาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การโรงแรม การจัดเลี้ยง และการจัดงานแต่งงาน นับเป็นโอกาสที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

ที่มาข้อมูล : Agoda

ที่มารูปภาพ : TNN