“จำคุกนอกเรือนจำ” โมเดลใหม่ของกระบวนการยุติธรรมไทย

“จำคุกนอกเรือนจำ” โมเดลใหม่ของกระบวนการยุติธรรมไทย

สรุปข่าว

การเปลี่ยนผ่านสำคัญในระบบยุติธรรมไทยได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2566 เมื่อระเบียบ “จำคุกนอกเรือนจำ” ของกรมราชทัณฑ์มีผลบังคับใช้ มาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนที่คุมขัง แต่ยังสะท้อนแนวคิดใหม่ของการปฏิรูปนักโทษที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูแทนการลงโทษล้วนๆ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็มีความซับซ้อนและเงื่อนไขที่สังคมต้องทำความเข้าใจและเฝ้าระวัง


อะไรคือ “จำคุกนอกเรือนจำ”?

แนวคิดหลักของมาตรการนี้ คือการอนุญาตให้ผู้ต้องขังบางรายสามารถถูกคุมขังในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ เช่น


‣สถานศึกษา

‣วัด

‣โรงพยาบาล


หรือแม้แต่พื้นที่เอกชนที่ได้รับอนุมัติจากกรมราชทัณฑ์


จุดมุ่งหมายสำคัญคือการลดความแออัดในเรือนจำและเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับปรุงพฤติกรรม แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ การคุมขังในสถานที่เหล่านี้จะสามารถทดแทนมาตรการเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือ?


เงื่อนไขและคุณสมบัติ ใครบ้างที่มีสิทธิ์ได้รับการพิจารณา?


ไม่ใช่ผู้ต้องขังทุกคนที่จะได้รับสิทธิ์นี้ ผู้ที่สามารถเข้าสู่ระบบจำคุกนอกเรือนจำต้องผ่านเงื่อนไขดังนี้


‣ผ่านการประเมิน

‣คณะทำงานพิจารณาผู้ต้องขังจะประเมินความเหมาะสม

‣ต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การหลบหนีหรือพฤติกรรมที่กระทบต่อความปลอดภัย

‣ไม่มีลักษณะต้องห้าม

‣ผู้ที่มีโทษกักขังแทนจำคุก หรือกำลังถูกดำเนินการทางวินัยไม่สามารถเข้าร่วมได้

‣ผู้ต้องโทษปรับที่ยังไม่ได้ชำระค่าปรับก็ไม่ได้รับสิทธิ์นี้


กระบวนการทั้งหมดจะต้องผ่านการอนุมัติจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และสถานที่จะต้องได้รับการตรวจสอบให้เหมาะสม เช่น ต้องติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring) ได้


วัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย ทำไมต้องเปลี่ยน?


‣ลดปัญหาเรือนจำล้นเกิน

ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหานักโทษล้นเรือนจำอย่างหนัก ระเบียบนี้จึงเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาภาระในระบบราชทัณฑ์

‣ส่งเสริมการฟื้นฟูพฤตินิสัย

ผู้ต้องขังสามารถพัฒนาพฤติกรรมในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การศึกษาในโรงเรียน การปฏิบัติธรรมในวัด หรือการรักษาในโรงพยาบาล


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือความพร้อมของสถานที่เหล่านี้ในการรองรับผู้ต้องขัง เช่น สถานศึกษามีมาตรการจัดการกับผู้ต้องขังหรือไม่? วัดสามารถดูแลได้โดยไม่เกิดปัญหาทางศีลธรรมหรือสังคมอย่างไร?


ผลกระทบของระเบียบ "จำคุกนอกเรือนจำ" ที่ต้องจับตามองเริ่มต้นจากประเด็นความปลอดภัยและการควบคุม การอนุญาตให้ผู้ต้องขังอยู่ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ เช่น วัด โรงพยาบาล หรือสถานศึกษา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหลบหนีหรือกระทำผิดซ้ำ หากระบบติดตามตัวไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องมีการตรวจสอบและติดตามโดยเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ต้องขังยังอยู่ภายใต้การควบคุมที่เหมาะสม


อีกมุมหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือการยอมรับของสังคม ระเบียบนี้อาจก่อให้เกิดความกังวลในกลุ่มผู้เสียหายหรือครอบครัวของเหยื่อ ซึ่งอาจมองว่าการให้ผู้ต้องขังบางรายได้รับสิทธิ์นี้เป็นการลดคุณค่าของกระบวนการลงโทษ และอาจมองว่าเป็นความไม่ยุติธรรมทางสังคม การสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารที่ชัดเจนและแสดงให้เห็นผลลัพธ์ในเชิงฟื้นฟูที่แท้จริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สังคมยอมรับว่ามาตรการนี้ไม่ได้มุ่งลดทอนการลงโทษ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างเหมาะสม


ในด้านการบริหารจัดการ รัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายในการเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณ บุคลากร และการตรวจสอบสถานที่ที่จะใช้คุมขังนอกเรือนจำอย่างเข้มงวด สถานที่เหล่านี้ต้องได้รับการออกแบบและจัดการให้เหมาะสมต่อการฟื้นฟูพฤติกรรมของผู้ต้องขัง รวมถึงการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากการดำเนินงานไม่สอดคล้องกัน นโยบายนี้อาจกลายเป็นเพียงมาตรการที่ขาดความยั่งยืนและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริงในระยะยาว


คำถามสำคัญคือ


“ระเบียบนี้จะช่วยสร้างความยุติธรรมที่สมดุลทั้งต่อผู้กระทำผิดและผู้เสียหายได้หรือไม่?”

“สถานที่และระบบสนับสนุนพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างแท้จริงหรือไม่?”


สุดท้ายแล้ว สังคมไทยต้องร่วมกันเฝ้าติดตามและปรับปรุงนโยบายนี้ให้เหมาะสม เพื่อให้ระเบียบ “จำคุกนอกเรือนจำ” ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาชั่วคราว แต่เป็นการสร้างระบบยุติธรรมที่มีคุณภาพในระยะยาว.



ภาพ Freepik 

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :