ไทยเตรียมเป็นผู้นำอาเซียน ด้านสิทธิผู้บริโภคและการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ หากภาครัฐรับรอง‘สิทธิในการซ่อม

19 กุมภาพันธ์ 2025 กรุงเทพฯ สถาบันนโยบายสาธารณะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และมหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมจัดทำรายงานใหม่ล่าสุด เปิดเผยถึงโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในการเคลื่อนไหวและกฎหมายสิทธิในการซ่อม ‘อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์’ (Right to Repair - R2R)
แนวคิด R2R คือ การที่ผู้บริโภคควรมีสิทธิในการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของตนเอง โดยสามารถเข้าถึงอะไหล่ เครื่องมือ และคู่มือการซ่อมได้ ตั้งแต่เครื่องจักรกลการเกษตร ยานยนต์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายได้กำหนดข้อจำกัดทั้งทางกายภาพ กฎหมาย และดิจิทัล เพื่อปิดกั้นการซ่อมโดยอิสระ R2R จึงมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิด้านการซ่อม พร้อมทั้งลดข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้อะไหล่ทดแทนใช้งานได้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘Parts Pairing’ หรือ "การจับคู่ชิ้นส่วน" ที่ส่งผลให้ค่าซ่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
การขาดทางเลือกของผู้บริโภค ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เป็นแรงผลักสำคัญให้ R2R เรียกร้องให้ผลิตภัณฑ์สามารถซ่อมได้ง่ายขึ้น เพื่อให้สิทธิและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้นแก่ผู้บริโภค หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาได้ผ่านกฎหมายดังกล่าวแล้ว และปัจจุบันมีอีก 30 รัฐที่กำลังพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ขณะที่สหภาพยุโรป หรือ EU ได้ประกาศใช้กฎหมาย R2R ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งห้ามผู้ผลิตกำหนดข้อจำกัดในการซ่อม และบังคับให้ผู้ผลิตต้องจัดหาอะไหล่และเครื่องมือในราคาที่สมเหตุสมผล

สรุปข่าว
การขับเคลื่อนนโยบาย R2R ในประเทศไทย
งานวิจัยฉบับใหม่นี้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการซ่อมกว่า 40 รายในกรุงเทพฯ พบปัญหาสำคัญในระบบซ่อมแซมของไทย โดย 54% ของร้านซ่อมอิสระไม่มีคู่มือการซ่อม ขณะที่ 96% ไม่สามารถเข้าถึงอะไหล่จากศูนย์บริการหรือผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาต
นายเอ็ดเวิร์ด แรตคลิฟฟ์ กรรมการบริหาร สถาบันนโยบายสาธารณะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Mr. Edward Ratcliffe, Executive Director, Southeast Asia Public Policy Institute) กล่าวว่า "ประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่และมียอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนถึง 14 ล้านเครื่องในปี 2566 คาดว่าอัตราการใช้สมาร์ทโฟนจะสูงถึง 97% ภายในปี 2572 ทำให้เป็นประเทศที่เหมาะสมสำหรับการออกกฎหมาย R2R ที่ก้าวหน้า"
งานวิจัยนี้เผยแพร่ในช่วงเวลาสำคัญ ขณะที่ “ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า” หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เลมอน ลอว์" (Lemon Law) ของไทยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รายงานยังเน้นถึงความเร่งด่วนของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็น 65% ของขยะอันตรายจากชุมชน ซึ่งมีปริมาณสูงถึง 450,000 ตันต่อปี ขยะจากโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตคิดเป็นประมาณ 25,200 ตัน แต่มีเพียง 21% เท่านั้นที่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่จีนสั่งห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2560 ทำให้ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าในไทยเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า โดยในปี 2564 ไทยนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 28 ล้านตัน
ซึ่งรายงานฉบับนี้ได้เสนอข้อแนะนำสำคัญในการพัฒนากรอบการทำงานของ R2R ที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการห้ามการจับคู่ชิ้นส่วน (Parts Pairing) เพื่อให้สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้น การกำหนดราคามาตรฐาน และการให้สิ่งจูงใจสำหรับธุรกิจซ่อมแซม ข้อเสนอเหล่านี้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) ของประเทศไทย (พ.ศ. 2564-2570)
ทั้งนี้ รายงานฉบับเต็มได้ทำการวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในโลกเกี่ยวกับนโยบาย R2R และได้เสนอข้อแนะนำที่ชัดเจนสำหรับประเทศไทยในการพัฒนากรอบงานของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในด้านการบริโภคที่ยั่งยืนและการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับภูมิภาค
โดยจากการที่ TNN Tech ได้สัมภาษณ์ กับนายเอ็ดเวิร์ด เรดคริฟ (Mr. Edward Ratcliffe) กรรมการณ์ Southeast Asia Public Policy Institute และ ดร. กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ร่วมเป็นที่ปรึกษาและทำวิจัย กล่าวว่า "กฎหมายสิทธิในการซ่อม ‘อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์’ (Right to Repair - R2R) นี้จะเป็นก้าวสำคัญในการช่วยลดขยะอิเล็ทรอนิกส์ และช่วยสังคมไทยให้ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอุปกรณือิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม" รวมถึง "เนื่องด้วยประเทศไทยมีร้านค้าสำหรับซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เยอะ อยู่แล้วประเทศไทยถึงมีศักย์ภาพในการที่จะใช้กฎหมายนี้" และ "ปัจจุบันในภูมิภาค Asia-Osiania ประเทศสิงคโปร์ อินเดีย และออสเตรเลียกำลังศึกษาและให้ความสำคัญกับการนำไปใช้ของกฎหมายนี้"