
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat เรื่อง ปี 2568 อากาศเย็นสุดขีด..แต่อาจร้อนสุดขั้ว

สรุปข่าว
โดยระบุข้อความว่า ข้อมูลจาก อุตุนิยมวิทยาโลกหรือ WMO พบว่าในเดือน มกราคม 2025 เฉลี่ยทั่วโลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง1.75 องศาเซลเซียส ซึ่งเกินจากระดับที่โลกกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 1.5 องศาไปแล้ว)และมีระดับเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นถึง 0.79 องศาเซลเซียสจากปี1991- 2020 ทั้งๆที่อยู่ในช่วงปลายของสภาวะLa Nina ที่ทำให้อากาศเย็นลง สาเหตุสำคัญมาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกในปี 2024 ถึง 37,400ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.8% จากปี 2023 ซึ่งในปี 2024 เป็นปีที่มีการปล่อยเรือนก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมา
นักวิทยาศาสตร์จาก Berkeley Earth and the United Kingdom Met Office คาดการณ์ว่าในปี 2025จะเป็นปีที่มีอากาศร้อนสูงสุดเป็นลำดับที่ 3รองจากปี 2024 และ ปี2023เท่านั้น เพราะมีภาวะลานิญามาช่วยบ้าง
แต่อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น จะทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว เกิดขึ้นได้บ่อย(Extreme Weather)ก่อให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง อากาศร้อนจัดและแห้งแล้ง ลมพายุรุนแรงเกิดบ่อยครั้ง ฝนตกหนักกว่าปกติ ในฤดูหนาวเกิดอากาศหนาวเย็นอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ภัยธรรมชาติต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและบ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยปี 2024 ประเทศไทยอยู่สภาวะลานีญากำลังแรง มีฝนตก น้ำท่วมหนัก แต่ในเดือนเมษายน-พฤษภาคมกลับมีอุณหภูมิสูงสุงถึง 45.0 องศาฯ ส่วน ปี 2023 อุณหภูมิของประเทศไทยสูงสุดที่ 44.6 องศาฯ ขณะที่ปี 2025 ลานีญาอ่อนกำลังลงและเข้าสู่ภาวะเป็นกลางระหว่างลานีญาและเอลนีโญ ประเทศไทยจะมีอากาศร้อนสูงสุดไม่ต่ำกว่า44องศาในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม
ทั้งนี้ โลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2567 คาดว่าปี 2568 อุณหภูมิสูงสุดของประเทศไทยจะไม่ต่ำกว่า 44 องศา ซึ่งมีค่าสูงสุดเป็นลำดับที่ 3 รองจากปี 2567 และ 2566 เท่านั้น
ที่มาข้อมูล : ดร.สนธิ คชวัฒน์ Sonthi Kotchawat
ที่มารูปภาพ : ดร.สนธิ คชวัฒน์ Sonthi Kotchawat , Canva