
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly) ได้ประกาศให้ปี 2025 เป็นปีสากลแห่งการอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง (International Year of Glacier Preservation) เพื่อกระตุ้นให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของธารน้ำแข็งที่กำลังเผชิญกับภาวะละลายอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้วันที่ 21 มีนาคม 2025 เป็นวันธารน้ำแข็งโลก (World Glacier Day) ครั้งแรก เพื่อเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องระบบนิเวศที่สำคัญนี้
รายงานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลายด้วยอัตราที่น่าตกใจ ตั้งแต่บริเวณยอดเขาสูงของ เทือกเขาแอนดีสในเปรู ไปจนถึง เทือกเขาหิมาลัยในเอเชีย และเทือกเขาแอลป์ในยุโรป ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่กำลังสูญเสียมวลน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจากโครงการตรวจวัดธารน้ำแข็งขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ธารน้ำแข็งทั่วโลกสูญเสียปริมาณน้ำแข็งไปมากกว่า 9,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่สามารถเติมทะเลสาบเกรตเลกส์ (Great Lakes) ในอเมริกาเหนือได้หลายครั้ง

สรุปข่าว
ธารน้ำแข็งเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญของโลก การที่มันละลายอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบในหลายด้าน ได้แก่
- การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล: การละลายของธารน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคุกคามเมืองชายฝั่งทั่วโลก
- ความแปรปรวนของแหล่งน้ำจืด: ธารน้ำแข็งเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำคงคา (Ganges) และแม่น้ำโขง (Mekong) การละลายอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดน้ำท่วมในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจทำให้ขาดแคลนน้ำ
- การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ: ธารน้ำแข็งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด การละลายของมันส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและความหลากหลายทางชีวภาพ
ด้วยอัตราการละลายที่รุนแรง นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเรียกร้องให้มีมาตรการเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการพัฒนาโครงการฟื้นฟูและป้องกันธารน้ำแข็ง เช่น การใช้เทคโนโลยีช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ออกจากพื้นผิวธารน้ำแข็ง และการสร้างกำแพงกั้นน้ำแข็งเพื่อลดการละลาย
การประกาศให้ปี 2025 เป็นปีสากลแห่งการอนุรักษ์ธารน้ำแข็งและการกำหนดวันธารน้ำแข็งโลก ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระตุ้นให้ประชาคมโลกตระหนักถึงวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นและร่วมมือกันหาทางแก้ไขเพื่อรักษาธารน้ำแข็งให้คงอยู่ต่อไป