
ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อพืชอาหารหลักของโลกอย่างหนัก อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C เป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมาได้ทำให้พื้นที่เพาะปลูกลดลง นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าหากโลกร้อนขึ้นถึง 4°C พื้นที่เพาะปลูกของอาหารหลัก 30 ชนิดอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Aalto ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งตีพิมพ์ใน Nature Food ระบุว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้พื้นที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชลดลงจากปัจจัยด้านอุณหภูมิ ฝน และความแห้งแล้ง โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประเทศในแถบ ตะวันออกกลาง, เอเชียใต้, แอฟริกาใต้ซาฮารา และละตินอเมริกา
หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2°C ผลผลิตพืชอาจลดลง หนึ่งในสาม ของพื้นที่การเกษตรในประเทศเหล่านี้ และหากอุณหภูมิสูงถึง 3°C พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นถึง ครึ่งหนึ่ง นักวิจัยเตือนว่า ข้าว, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, มันฝรั่ง และถั่วเหลือง ซึ่งเป็นพืชอาหารหลักของโลก จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมถึงพืชที่วิจัยน้อยกว่าอย่าง มันสำปะหลังและถั่วพุ่ม

สรุปข่าว
ในแอฟริกาใต้ซาฮารา ซึ่งพึ่งพาการเกษตรสูงสุด เกือบ 75% ของพื้นที่เพาะปลูกจะได้รับผลกระทบหากอุณหภูมิพุ่งเกิน 3°C นอกจากนี้ ความหลากหลายของพืชในประเทศเขตร้อนจะลดลง ทำให้ความมั่นคงทางอาหารลดลงและประชากรขาดสารอาหาร
ในขณะที่ประเทศในเขตละติจูดกลางและสูงอาจไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร และอาจมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยอื่น เช่น ศัตรูพืชและสภาพอากาศรุนแรง อาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต
นักวิจัยเน้นว่าการรักษาอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 2°C เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการผลิตอาหาร นอกจากนี้ การปรับตัวเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งรวมถึง
- การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศ
- การใช้พืชท้องถิ่นที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้รับการพัฒนา
- ปรับปรุงระบบจัดการน้ำและดิน
- การใช้ระบบเกษตรผสมผสาน เช่น agroforestry
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Srijirta Dasgupta กล่าวว่า การลงทุนในเทคโนโลยีทางการเกษตรเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในประเทศที่เสี่ยงต่อความอดอยาก
หากโลกร้อนขึ้นเกิน 2°C อาจส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารหลักหดตัวอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารและความขัดแย้งด้านทรัพยากร ทางออกคือการพัฒนาเกษตรที่ทนต่อสภาพอากาศ และการลงทุนในเทคโนโลยีการเกษตรอย่างจริงจัง
ที่มาข้อมูล : scidev.net
ที่มารูปภาพ : Reuters