โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเกือบตายจากโควิด?
มีหนังสือเล่มใหม่ของอดีตหัวหน้าคณะทำเนียบขาว เปิดเผยว่า สมัยที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อปลายปีที่แล้ว พบว่าระดับออกซิเจนในเลือดของเขาต่ำจนอยู่ในระดับอันตราย
มาร์ก มีโดว์ อดีตหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว เปิดเผยผ่านหนังสือเล่มใหม่ ที่ชื่อว่า The Chief's Chief หรือ ‘หัวหน้าของหัวหน้า’ ว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีระดับออกซิเจนในเลือดที่ต่ำในระดับอันตรายที่สุด ขณะที่เขาติดเชื้อโควิด-19 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
เป็นเนื้อหาที่ขัดกับที่อดีตผู้นำสหรัฐฯ พยายามเปิดเผยว่า เขาแทบไม่มีอาการอะไรรุนแรงขณะติดเชื้อโควิด-19 เลย และอาการของเขาก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่หลาย ๆ คนคิดกัน
มีโดว์ เขียนในหนังสือไว้ว่า ดร.ฌอน พี. คอนเลย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ที่ดูแลทรัมป์ ได้ดึงตัวเขาไปพูดคุยถึงข่าวร้ายในเช้าวันหนึ่ง ว่า ถึงแม้อาการของประธานาธิบดี (ขณะนั้น) จะดีขึ้นแล้วในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่ระดับออกซิเจนในเลือดของเขาลดต่ำลงถึงระดับ 86% และมีโอกาสที่จะลดลงได้มากกว่านี้อีก ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่อันตรายอย่างมากสำหรับคนในช่วงอายุเท่าเขา
ทำให้ทีมแพทย์ต้องช่วยกันใส่ออกซิเจนให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
สำนักข่าว New York Times รายงานว่า มีโดว์ยังได้บรรยายไว้ในหนังสือของเขาอีกด้วยว่า ได้ไปเยี่ยมทรัมป์ที่ล้มป่วย ก่อนที่จะเข้ารักษาตัวที่ Walter Reed ซึ่งอดีตผู้นำสหรัฐฯ เวลานั้นสวมใส่เสื้อยืด พร้อมกับผมเผ้ายุ่งเหยิง และกำลังรับยาของบริษัทเวชภัณฑ์ "รีเจเนอรอน" อยู่
และหลังจากที่เขาเข้ารักษาตัวที่ Walter Reed ทรัมป์ก็สูญเสียความแข็งแรงไปแล้ว และไม่สามารถแม้จะถือกระเป๋าเอกสาร ซึ่งมีโดว์ระบุว่ามีน้ำหนักราว 5 กิโลกรัมได้
มีโดว์ยังเปิดเผยอีกว่า ทรัมป์ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 26 กันยายน เพียง 3 วันก่อนที่จะมีการดีเบตกับโจ ไบเดน แต่ประเด็นนี้ ทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เป็นความจริง และเรื่องจริงคือ เขาไม่ได้ติดเชื้อก่อนที่จะมีการดีเบตอย่างที่มีโดว์กล่าวหา!
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยประกาศให้การสนับสนุนหนังสือเล่มใหม่ของ มาร์ก มีโดว์ แต่ภายหลังได้ถอนการสนับสนุนออกไป หลังพบว่า เนื้อหาในหนังสือมีการแฉเรื่องราวภายในทำเนียบขาวสมัยของเขาหลายเรื่อง
นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก บิล เดอ บลาซิโอ แถลงเมื่อวันจันทร์ (6 ธันวาคม) ว่า เขาวางแผนจะประกาศแนวทางบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับพนักงานภาคเอกชน โดยจะมีผลบังคับใช้ 27 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป นับเป็นเมืองแรกของสหรัฐฯ ที่ออกมาตรการบังคับภาคเอกชนเช่นนี้
เดอ บลาซิโอ ระบุว่า การแพร่ระบาดของ Omicron บวกกับการรวมตัวเนื่องในเทศกาลวันหยุด ทำให้เขาจำเป็นต้องออกมาตรการเข้ม และให้เวลาภาคธุรกิจ 3 สัปดาห์ ในการยืนยันว่าพนักงานของพวกเขาได้รับวัคซีนแล้ว ไม่เช่นนั้น จะต้องใช้มาตรการ "บังคับให้หยุดงานชั่วคราว" เพื่อหวังระงับการระบาดของโควิด-19 ลง
ก่อนหน้านี้ มหานครนิวยอร์ก ได้ออกคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนสำหรับพนักงานของเมือง แต่นี่คือครั้งแรกที่ออกกฎสำหรับภาคเอกชน ซึ่งจะกระทบต่อธุรกิจ 184,000 แห่ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ของเมืองมากถึง 94% แล้วที่ฉีดวัคซีน
ไม่เพียงเท่านี้ นายกฯ นครนิวยอร์ก ยังได้ประกาศกฎใหม่ในการรับประทานอาหาร และการใช้สถานบันเทิง เช่น ห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ สำหรับเด็ก 5-11 ปี จะสามารถเข้าใช้บริการได้ก็ต่อเมื่อได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม โดยจะมีผลตั้งแต่ 14 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป
คำสั่งดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่มีข้อบ่งชี้หลายข้อเมื่อวันจันทร์พบว่า การระบาดของโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วสหรัฐฯ รวมถึงอัตราการตรวจพบเชื้อเป็นบวกก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ยืนกรานระงับคำสั่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ต้องการให้บริษัทที่มีพนักงาน 100 คนขึ้นไปต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
การออกข้อบังคับใหม่นี้ มีทั้งคนที่เห็นด้วย และคนไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดย เปีย เฟอร์นันเดซ-เวกา ในเขตควีนส์ บอกว่า "เราอยู่ในประเทศเสรี และทุกคนมีเสรีภาพ ทุกคนรับรู้เรื่องนี้ดี เรามีความคิดของเรา...หากเราถูกบังคับให้ต้องฉีดวัคซีน นั่นหมายถึงเสรีภาพของพวกเรากำลังถูกทำลาย"
—————
แปล-เรียบเรียง: ภัทร จินตนะกุล
ภาพ: MANDEL NGAN / AFP