จับตาราคาน้ำมันโลก หลังไบเดนสั่งปล่อยคลังน้ำมัน 50 ล้านบาร์เรล
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ สั่งระบายน้ำมันในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ มากถึง 50 ล้านบาร์เรล เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันพุ่งสูง จนส่งผลกระทบต่อครัวเรือนอเมริกัน ในขณะที่พรรครีพับบลิกันโจมตีการทำงานของรัฐบาลไบเดนว่าต้องรับผิดชอบต่ออัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 31 ปี
ทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ ได้ประสานงานกับชาติที่บริโภคพลังงานรายใหญ่อื่น ๆ แล้ว เช่น จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งนายไบเดนระบุว่า การประสานงานกันครั้งนี้ จะช่วยให้สามารถรับมือกับอุปทานที่ขาดแคลนได้ และจะช่วยผ่อนคลายราคาพลังงานลงด้วย
ไบเดนกล่าวว่า “วันนี้ เราเปิดตัวความพยายามครั้งสำคัญที่จะช่วยให้น้ำมันมีราคาเหมาะสม ซึ่งเป็นความพยายามที่จะขยายไปในระดับโลก และจะส่งถึงสถานีก๊าซในที่ที่คุณอยู่ เรื่องนี้ต้องใช้เวลา แต่ไม่นาน คุณจะได้เห็นราคาก๊าซลดต่ำลง”
ด้านเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ บอกกับสื่อว่า การปล่อยคลังน้ำมันสำรองจะเริ่มต้นในช่วงกลางไปจนถึงปลายเดือนธันวาคม และอาจมีการแทรกแซงเพิ่มเติมอีกเพื่อทำให้ตลาดเสถียร ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังรับมือกับโรคระบาดใหญ่
---นัยยะทางการเมืองแอบแฝง---
อย่างไรก็ตาม การปล่อยคลังน้ำมันสำรอง ก็มีนัยยะทางการเมืองเช่นกัน เพราะชาวอเมริกันผู้มีสิทธิออกเสียง กำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และราคาสินค้าต่าง ๆ ที่พุ่งขึ้น ก่อนหน้าเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้าที่จะเริ่มต้นในวันพฤหัสบดีนี้ (25 พฤศจิกายน) และการเดินทางวันหยุดในช่วงฤดูหนาว
สมาคมยานยนต์สหรัฐฯ ระบุว่า ราคาน้ำมัน อยู่ที่ราว 3.40 ดอลลาร์ต่อแกลลอน มากกว่าราคาปีที่แล้วถึงสองเท่าไปแล้ว และสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014
การสำรวจคะแนนความเห็นชอบต่อนายไบเดนโดย fivethirtyeight.com ล่าสุด พบว่า ไบเดนได้รับคะแนนความเห็นชอบเพียง 42.8% เท่านั้น ขณะที่คะแนนไม่เห็นชอบมีมากถึง 52.2%
ในขณะที่ฝั่งรีพับบลิกันก็ไม่ประทับใจกับการทำงานของไบเดนมากนักและบอกว่ารัฐบาลไบเดนต้องรับผิดชอบต่ออัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 31 ปี เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วย โดยประธานคณะกรรมการแห่งชาติของพรรค กล่าวว่า ความล้มเหลวในการเป็นผู้นำของไบเดน เป็นสาเหตุของราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันต้องจ่ายทุกอย่างแพงขึ้น ในช่วงวันขอบคุณพระเจ้านี้
---คลังน้ำมันสำรองที่ใหญ่สุดในโลก---
รัฐบาลไบเดนให้เหตุผลในการปล่อยน้ำมันออกมาว่า อุปทานน้ำมันไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ หลังโลกกำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคระบาด ทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือน ต้องจ่ายเงินมาก คลังน้ำมันสำรองนั้นเป็นเครื่องมือที่ถูกต้องในการช่วยแก้ปัญหานี้
US Strategic Petroleum Reserve หรือคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เกิดขึ้นในปี 1975 เป็นการสำรองน้ำมัยไว้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความมั่นคงของชาติ
และยังเป็นคลังน้ำมันสำรองฉุกเฉินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และถูกเก็บไว้ในถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ที่สร้างจากโดมเกลือ ตามชายฝั่งของรัฐเท็กซัสและหลุยส์เซียนา
ปกติแล้วจะมีการกักตุนน้ำมันไว้ราว 605 ล้านบาร์เรล แต่มีศักยภาพความจุได้ถึง 714 ล้านบาร์เรล
---ไบเดนส่งสัญญาณไปยัง OPEC?---
CNN รายงานว่า ท่าทีของสหรัฐฯ อาจเป็นสัญญาณส่งไปยังชาติสมาชิกองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก หรือโอเปก และรัสเซีย ว่า สหรัฐฯ นั้นจริงจังในการทำให้น้ำมันมีราคาต่ำลง หลังชาติเหล่านี้ไม่ยินดีที่จะเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อทำให้น้ำมันมีราคาลดลง
รัฐบาลไบเดนได้เตือนซาอุดิอาระเบียมาหลายสัปดาห์แล้วว่า สหรัฐฯ จะหาทางออกอื่นหากราคาน้ำมันดิบยังสูงกว่า 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ซาอุดิอาระเบียยืนยัน ไม่เพิ่มการผลิต ซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คาดว่า เป็นเพราะสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ทำให้ซาอุดิอาระเบียกังวลว่า จะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน และทำให้อิหร่านเร่งกำลังการเผลิตน้ำมันและแข่งกับกลุ่มโอเปคพลัส
การที่ซาอุฯ เมินข้อเสนอดังกล่าว ทำให้รัฐบาลไบเดนหันไปเจรจากับชาติอื่น ๆ แทน เพราะหากทำร่วมกันในระดับสากล จะมีประสิทธิภาพมากกว่าในการควบคุมราคาตลาด โดยเฉพาะการส่งสัญญาณนี้ไปยังซาอุดิอาระเบียด้วย
—————
แปล-เรียบเรียง: ธันย์ชนก จงยศยิ่ง
ภาพ: Zbynek Burival