สหรัฐฯ-ฝรั่งเศส สมานรอยร้าว ไบเดนต่อสายตรง ‘ขอคืนดี’ ปมออคัส
ข้อตกลงออคัส ของ 3 ชาติไตรภาคี สหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ทำให้เกิดวิกฤตทางการทูตระหว่าง 3 ชาติกับฝรั่งเศส ที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล แต่ล่าสุดดูเหมือนฝรั่งเศสจะมีท่าทีที่ดีขึ้นมาก
หลังจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ได้ประกาศข้อตกลงออคัส เพื่อแบ่งปันเทคโนโลยีทางการทหาร รวมถึงเทคโนโลยีการสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็สร้างความไมพอใจให้กับฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก เพราะต้องถูกยกเลิกข้อตกลงสั่งซื้อเรือดำน้ำ 12 ลำ มูลค่า กว่า 1.3 ล้านล้านบาท ที่ออสเตรเลียกับฝรั่งเศสลงนามร่วมกันเมื่อปี 2016
ฝรั่งเศสรู้เรื่องนี้ก่อนจะมีการประกาศไม่กี่ชั่วโมง แน่นอนว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก รัฐมนตรีกลาโหมฝรั่งเศสเรียกการกระทำของทั้ง 3 ชาติ ว่าเป็นการแทงข้างหลัง
ขณะที่สหภาพยุโรป หรือ EU ที่ฝรั่งเศสเป็นสมาชิกอยู่ก็แสดงความไม่พอใจออกโรงป้องฝรั่งเศสเช่นกัน
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล นายมาครง ผู้นำฝรั่งเศส สั่งเรียกตัวเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ และประจำกรุงแคนเบอร์รา ของออสเตรเลียกลับประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นระหว่างชาติพันธมิตร
'ไบเดน' ต่อสายตรง 'มาครง' เคลียร์ 'ออคัส'
สำนักข่าว BBC รายงานว่า ล่าสุด ดูเหมือนท่าทีของฝรั่งเศสจะดีขึ้นมาก น่าจะหายเคืองแล้ว หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ยกหูโทรศัพท์ ต่อสายตรงถึงประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เมื่อวันพุธ (22 กันยายน)
หลังจากพูดคุยกันฉันมิตรประมาณ 30 นาที ทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าว จะได้รับประโยชน์จากการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยระหว่างพันธมิตร สถานการณ์ดังกล่าว หมายถึง ข้อตกลงออคัสนั่นเอง
สำนักข่าว BBC รายงานต่อว่า ประธานาธิบดีไบเดนได้เน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมของฝรั่งเศสและยุโรปในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
รวมถึงเน้นย้ำการยอมรับของสหรัฐฯ เกี่ยวกับความสำคัญของยุโรปในการป้องกันประเทศที่เข้มแข็งขึ้นเพื่อสนับสนุนนาโต ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการหลักของประธานาธิบดีมาครงด้วย
สมานรอยร้าว
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เจน ปซากี โฆษก ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ในแถลงการณ์ร่วมระบุว่า ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะเริ่มการปรึกษาหารือเชิงลึกเพื่อสร้างความไว้วางใจอีกครั้ง และพบกันที่ยุโรปในปลายเดือนตุลาคมนี้
และสหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะ "สนับสนุนปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายในซาเฮลที่ดำเนินการโดยรัฐต่างๆ ในยุโรป" แม้จะยังไม่ชัดเจนว่านี่อาจหมายถึงการส่งกำลังกองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ ไปร่วมต่อสู้ หรือเพียงแค่การสนับสนุนด้านลอจิสติกส์ที่มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าไบเดนได้เอ่ยปากขอโทษมาครงหรือไม่ โฆษกหญิงทำเนียบขาวก็ตอบเพียงว่า "ประธานาธิบดีไบเดนยอมรับว่าน่าจะมีการปรึกษาหารือกันมากกว่านี้"
ผลจากการพูดคุยฉันมิตร ส่งผลให้ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำวอชิงตันจะกลับไปดำรงตำแหน่งตามเดิม แต่ไม่ได้ระบุว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำกรุงแคนเบอร์ราจะทำเช่นเดียวกันหรือไม่
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำฝรั่งเศสยังนัดหมายว่า จะพบกันแบบเจอหน้าที่ยุโรปในปลายเดือนหน้าด้วย
การขอโทษที่ไม่ได้ขอโทษ
โนเมีย อิคบัล ผู้สื่อข่าว BBC ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มองว่า นี่เป็น 'การขอโทษที่ไม่ขอโทษ' แบบคลาสสิคอเมริกัน นั่นคือ ไบเดน ขอโทษมาครงที่ไม่ได้ปรึกษาหารือก่อน แต่ไม่ได้ขอโทษสำหรับนโยบายของตัวเอง ซึ่งหมายถึงข้อตกลงออคัส
ขณะที่มีภาพของประธานาธิบดีไบเดนที่ยิ้มแย้มขณะพูดคุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีมาครงออกมา ก็เพื่อพยายามแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และแม้เท่าที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายมักท่าทีเรียบง่ายเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในคราวนี้ดูเหมือนมีความหมายหลายอย่าง
อย่างแรกคือ โดยปกติแล้ว แต่ละฝ่ายจะออกแถลงการณ์ของตนเอง แต่ครั้งนี้ผู้นำทั้งสองออกแถลงการณ์ร่วม เพื่อจะแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลังการพูดคุยฉันมิตรเป็นเวลา 30 นาที
และชัดเจนตั้งแต่แรกว่า ไบเดน เป็นคนต่อสายถึงมาครงก่อน และนี่อาจเป็นสิ่งที่ฝรั่งเศสต้องการให้ทราบโดยทั่วกัน
แล้วไหนจะประโยคที่ว่า สองผู้นำเห็นพ้องต้องกันว่า สถานการณ์ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์จากการหารืออย่างเปิดเผยดังกล่าว ซึ่งหมายถึงการทำข้อตกลงออคัสจะเกิดประโยชน์ หากสหรัฐฯ หารือกับฝรั่งเศสอย่างเปิดเผยก่อน
สหรัฐฯ ต้องเป็นฝ่ายง้อ
นักวิเคราะห์มองว่า ฝรั่งเศสน่าจะต้องการให้ใส่ประโยคดังกล่าวในแถลงการณ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยอมรับผิด ที่ไม่ได้หารือกับฝรั่งเศสก่อน
ขณะที่ไบเดนก็ได้ย้ำจุดยืนของสหรัฐฯอีกครั้ง ว่า ยุโรปจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการป้องกันตนเองมากขึ้น และจบการสนทนาลงที่สหรัฐฯ เตือนความจำฝรั่งเศสว่า สหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือต่อต้านการก่อการร้ายใน ซาเฮล หรือเขตรอยต่อบริเวณกึ่งทะเลทรายซะฮาร่าที่แบ่งทวีปแอฟริกาออกเป็นเหนือและใต้ ซึ่งพบกลุ่มติดอาวุธ กลุ่มอาชญากรเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นพื้นที่ยึดครองของกลุ่มนักรบจีฮัด ซึ่งบางกลุ่มมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอัลกออิดะห์ และกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ที่สร้างความกังวลต่อประเทศในยุโรป ซึ่งฝรั่งเศสได้ทุ่มเทกับพื้นที่ดังกล่าวอย่างมหาศาล
นักวิเคราะห์สรุปว่า เป็นแถลงการณ์ร่วม ที่ทั้งสองฝ่ายต่างใช้ความเชี่ยวชาญในการเขียนขึ้นมาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตน เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งและเดินหน้าต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การพูดคุยด้วยรอยยิ้มทางโทรศัพท์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การพบหน้าพูดคุยกันตัวต่อตัวในเดือนหน้าที่ยุโรปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูต่อไป
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ประธานาธิบดีมาครง จะต้องเผชิญศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีหน้า ดังนั้น การวางตัวแข็งกร้าวกับประธานาธิบดีไบเดน เป็นสิ่งที่จะเรียกคะแนนจากชาวฝรั่งเศสได้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องหาทางออกจากปัญหาในข้อตกลงออคัสเช่นกัน
สัมพันธ์ฝรั่งเศส-สหราชอาณาจักร ยังคลุมเครือ
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ฝรั่งเศส ดูเหมือนจะหาทางออกได้แล้ว แต่สำหรับฝรั่งเศสกับสหราชอาณาจักรยังคงคลุมเครือ
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรได้บอกผ่านผู้สื่อข่าวไปยัง ประธานาธิบดีมาครงว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เพื่อนรักของเราทั่วโลกบางคน จะต้องใจเย็น และระงับความโกรธเกี่ยวกับข้อตกลงออคัส เพราะนี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับความมั่นคงระดับโลก
โดยจอห์นสัน พูดภาษาฝรั่งเศสออกมาสองคำ นั่นคือ “'prenez un grip” ที่แปลว่า 'ใจเย็นๆ' และ 'donnez-moi un break' หรือว่า 'ขอทีเถอะ' ด้วย
ท่าทีของผู้นำสหราชอาณาจักรมีขึ้นหนึ่งวัน หลังจากเข้าพบผู้นำสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำกรุงแคนเบอร์รา ของออสเตรเลีย จะกลับไปประจำตำแหน่งตามเดิม หลังจากถูกเรียกตัวกลับประเทศหรือไม่ และการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรปและเจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียในสัปดาห์หน้าก็ยังไม่แน่ว่าจะมีขึ้นตามกำหนดการเดิมหรือไม่เช่นกัน