

สรุปข่าว
นายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยกับ TNN Online ว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าแตะระดับ 36.68 บาท/ดอลลาร์ (อ่อนค่า 3.91%mtd) และเป็นการอ่อนค่าเกือบสูงสุดในรอบ 16 ปี ส่งผลดีต่อส่งออกอาหารและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นอกจากนี้คาดการณ์ว่าการประกาศงบไตรมาส 2/65 ของทั้ง 2 กลุ่มปรับตัวดีขึ้นขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศเริ่มฟื้นตัวส่งผลดีต่อการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้นสำหรับหุ้นที่แนะนำวันนี้มี 4 ตัวเด็ดที่รับอานิสงส์บาทอ่อน
เริ่มจากหุ้น SMT ซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท แนวโน้มกําไร 2Q65 จะขึ้นทํา NEW HIGHคาดกําไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27% qoq และ 30% yoyหลักๆมาจากแนวโน้มรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% qoq และ 7% yoy จากยอดขายในกลุ่ม PCBA และ Fiber optics เพิ่มขึ้น
ขณะที่ปัญหาชิพ IC ขาดแคลนฟื้นตัวดีขึ้นทําให้มีการส่งมอบสินค้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าหนุนแนวโน้ม Gross margin ปรับเพิ่มขึ้นในงวด 2Q65คาดกําไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 33% yoy ขึ้นทําจุดสูงสุดรายปี จากแนวโน้มยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 38% yoy จากการได้ลูกค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ IC packaging, แผง PCBA และ fiber optics
เบื้องต้นคาดกําไรงวด 3Q65 จะเติบโตต่อเนื่องและขึ้นทําจุดสูงสุดของปี ราคาหุ้นปรับฐานไปกว่า 30% ในรอบ 2 เดือนสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับปัญหาชิพขาดแคลนและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมาก แต่ฝ่ายวิจัยให้น้ําหนักแนวโน้มกําไรสุทธิจะฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ 2Q65 จึงยังแนะนําซื้อ
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ KCE ซื้อ ราคาเป้าหมาย 65 บาท แผนขยายกําลังการผลิตของโรงงานลาดกะบังและอยุธยา ได้ดําเนินการได้เป็นปกติราว 80-90% ใน 2Q65 ซึ่งจะหนุนให้แนวโน้มอัตราของเสียทยอยปรับลดลง ส่งผลบวกต่อ Gross margin ตั้งแต่ 2Q65
ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการ Lock down ในจีน ที่จะกดดันปัญหาวัตถุดิบชิพขาดแคลนให้ยืดเยื้อ
นอกจากนี้ ลูกค้ายุโรปได้ชะลอคําสั่งซื้อบ้าง แต่จะถูกชดเชยด้วย demand จากสหรัฐและเอเซียที่เติบโตโดดเด่นแทนคงประมาณการ คาดกําไรสุทธิปี 2565
จะเพิ่มขึ้น 7.9% yoy จากคําสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดกําไรสุทธิงวด 2Q65 จะพลิกกลับมาเติบโตได้ทั้งQoQ และ YoY หนุนจากแนวโน้มรายได้รวม
เติบโตราว 5% qoq และ 25%yoy
ค่าเงินบาทอ่อนค่า หนุนแนวโน้มประสิทธิภาพการทํากําไรฟื้นตัวกําหนด FV ปี 2565 ที่ 65 บาท แนะนําซื้อ เมื่อราคาอ่อนตัว โดยให้น้ําหนักกําไรฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไป และจะโดดเด่นในช่วง 2H65
หุ้นอีกตัวคือ CPF ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32 บาท เห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q65 คาดกําไรสุทธิงวด 2Q65 ฟื้นตัวจากงวด 1Q65 จากธุรกิจในไทยเติบโตต่อเนื่องอานิสงค์จากราคาไก่และหมูในไทยปรับสูงขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นช่วงฤดูกาลส่งออกไก่และกุ้งสู่ต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากราคาหมูในเวียดนามและจีนฟื้นตัว ส่งผลบวกให้แนวโน้มประสิทธิภาพการทํากําไรฟื้นตัวในงวด 2Q65คาดกําไรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัว 19% yoy จากธุรกิจไก่และสุกรในไทยฟื้นตัว จากปัญหาสุกรขาดแคลน
โดยคาดกําไรปกติงวด 3Q65 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากแนวโน้มราคาไก่และหมูในไทย เวียดนามและจีนปรับสูงขึ้น โดยล่าสุดเห็นสัญญาณบวกจากราคาหมูในจีนที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 20% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนล่าสุดอยู่ที่ 21หยวน/กก. ทําจุดสูงสุดในรอบ 14 เดือน นอกจากนี้ ยังเป็นช่วง high season ของการเข้าฤดูกาลส่งออกไก่และกุ้ง ราคาหุ้นมี PBV ปี 2565 เพียง 1.0 เท่า จึงยังแนะนําซื้อรับแนวโน้มธุรกิจฟื้นตัวในปี 2565
ปิดท้ายที่หุ้น TFG ซื้อ ราคาเป้าหมาย 7.30 บาท แนวโน้มธุรกิจไก่และหมูของ TFG จะเติบโตต่อเนื่องในงวด 2Q-3Q65 จากปัญหาสุกรขาดแคลน และความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์สูงขึ้น หนุนราคาไก่และหมูปรับเพิ่มขึ้นเร็วและแรงกว่าคาด ส่งผลบวกต่อแนวโน้มรายได้รวมและประสิทธิภาพการทํากําไรของ TFGปรับเพิ่มประมาณการกําไรสุทธิปี 2565-66 ขึ้นเฉลี่ยถึง 32% จากธุรกิจไก่และหมูที่ฟื้นตัวดีกว่าคาดมาก
โดยภายหลังปรับประมาณการ คาดกําไรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัวถึงกว่า 4 เท่าตัวมาที่ 2.8 พันล้านบาท ทําจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากฐานกําไรที่ต่ําในปีก่อน
และธุรกิจไก่และสุกรฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม คาดกําไรสุทธิปี 2566จะปรับลดลง 17% yoy มาที่ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งยังเป็นระดับที่ดีต่อเนื่อง จากแนวโน้มราคาไก่และหมูอ่อนตัวลง จากแนวโน้มปัญหาหมูขาดแคลนคลี่คลายดีขึ้นบ้าง กําหนด FV ใหม่ เท่ากับ 7.30 บาท
ที่มา นายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส
ภาพประกอบ พิกซาเบย์
ที่มาข้อมูล : -