คุกไม่ได้มีไว้ขัง 'คนจน' มองผ่านคดีฉ้อโกง ครึ่งปีหลัง 2567
ยุคเปลี่ยน คุกเปลี่ยน! คดีฉ้อโกงพันล้านครึ่งปีหลัง 2567 สะเทือนวงการ คนดัง-ไฮโซ เสรีภาพไม่ได้มาพร้อมกับเงินตรา กระบวนการยุติธรรมไทยยุคใหม่ ไม่สนฐานะ จับตาจุดเปลี่ยนสำคัญ!
"คุกมีไว้ขังคนจน" - วลีที่ฝังรากแห่งความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมไทยมาอย่างยาวนาน กำลังถูกพิสูจน์ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เมื่อคลื่นคดีฉ้อโกงระดับพันล้านถาโถม พร้อมกับการจับกุมผู้ต้องหาที่มีชื่อเสียงและฐานะทางสังคม สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากภาพจำเดิมๆ ที่คนเคยรับรู้
ย้อนดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา สังคมไทยได้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อบุคคลที่เคยมีภาพลักษณ์โดดเด่นในสังคม ต้องเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็น "เน็ตไอดอล" ที่โพสต์ภาพชีวิตหรูหรา "นักธุรกิจรุ่นใหม่" ที่อวดความสำเร็จผ่านโซเชียล หรือแม้แต่ "คนดังในวงการกฎหมาย" ที่เคยเป็นที่พึ่งของผู้เดือดร้อน กลับกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงที่สร้างความเสียหายมหาศาล
ยุคที่ "เงินล้านสร้างได้ด้วยปลายนิ้ว"
คำโฆษณาที่ถูกพรีเซ็นต์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเหยื่อล่อใจคนอยากรวย ผู้ต้องหาหลายรายวางกลยุทธ์สร้างภาพความสำเร็จอย่างแยบยล ด้วยการโพสต์ภาพชีวิตหรูหรา ทั้งรถราคาแพง บ้านหลังใหญ่ การท่องเที่ยวต่างประเทศ และไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ จนสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้เสียหายได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่เดือนก็สร้างความเสียหายมูลค่ากว่าพันล้านบาท มีผู้เสียหายนับพันราย
น่าคิดว่า ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่าย ทำไมผู้คนยังคงตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า? บางทีคำตอบอาจอยู่ที่ "ความโลภ" และ "ความหวัง" ที่จะรวยทางลัด ประกอบกับเทคนิคการหลอกลวงที่แนบเนียนขึ้น ทั้งการสร้างภาพความสำเร็จ การแอบอ้างความน่าเชื่อถือ และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ
จากห้องนอนสุดหรูสู่ห้องขังเรือนจำ
ความเปลี่ยนแปลงที่หลายคนไม่คาดคิด เมื่อศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงหลายราย ไม่ว่าจะยื่นหลักทรัพย์ประกันมูลค่าสูงเพียงใด เหตุผลที่ศาลยกมาล้วนหนักแน่นและชัดเจน ทั้งความร้ายแรงของคดี ความชัดเจนของพยานหลักฐาน และความเสี่ยงที่ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จะเห็นได้ว่า...วันนี้ แม้แต่เงินก็ไม่อาจซื้อเสรีภาพได้อีกต่อไป หากการกระทำนั้นผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
การปฏิเสธประกันตัวในคดีเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความยากจน หรือ ความร่ำรวย ของผู้ต้องหา แต่เกิดจากความร้ายแรงของการกระทำ ผลกระทบต่อสังคม และความเสี่ยงที่จะเกิดการหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน นี่คือหลักการพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรมที่แท้จริง
บทเรียนจากคดีเหล่านี้กำลังเปลี่ยนมุมมองของสังคมไทย จากที่เคยมองว่า "คุกมีไว้ขังคนจน" กลายเป็น "คุกมีไว้สำหรับผู้กระทำผิด" ไม่ว่าจะรวยหรือจน มีชื่อเสียงหรือไม่ หากละเมิดกฎหมายและสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น ก็ต้องรับโทษตามความผิดอย่างเท่าเทียม
คำถามที่น่าคิดคือ นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของกระบวนการยุติธรรมไทยจริงหรือ? สังคมไทยพร้อมแล้วหรือยังที่จะก้าวข้ามความเชื่อเดิมๆ ว่า "คนรวยไม่ติดคุก"? และที่สำคัญ เราจะเรียนรู้อะไรจากปรากฏการณ์ครั้งนี้?
ท้ายที่สุด "ความยุติธรรม" ไม่ควรขึ้นอยู่กับความรวยหรือจน แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำและผลของการกระทำนั้น เพราะหากกฎหมายถูกบังคับใช้อย่างเท่าเทียม "คุก" ก็จะเป็นบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดทุกคน ไม่ว่าจะมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ มีบ้านกี่หลัง หรือมีผู้ติดตามในโซเชียลมากแค่ไหน
ภาพ Freepik
ข่าวแนะนำ