ปฏิวัติจัดการขยะ ก้าวสำคัญสู่การปฏิรูประบบนิเวศเมือง
กทม. ปรับโฉมจัดการขยะ! คัดแยก จ่าย 20 บาท ไม่แยก จ่าย 60 บาท ลดขยะ ลดโลกร้อน พร้อมแผนลดขยะ 1,000 ตันต่อวัน สร้างเมืองน่าอยู่
กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญวิกฤตขยะล้นเมืองที่ท้าทายการบริหารจัดการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากสถิติล่าสุดในปี 2566 พบว่ามีปริมาณขยะมหาศาลถึง 8,775 ตันต่อวัน แม้จะลดลงจากปี 2565 ที่มี 8,979 ตันต่อวัน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงสร้างความกังวลให้กับผู้บริหารเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตจตุจักรที่ครองแชมป์ปริมาณขยะสูงสุดถึง 338 ตันต่อวัน
ล่าสุด ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครได้มีมติเห็นชอบข้อบัญญัติใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมการจัดการขยะของเมือง โดยแบ่งค่าธรรมเนียมเป็น 2 อัตรา คือ ครัวเรือนที่คัดแยกขยะจะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 20 บาทต่อเดือน ส่วนครัวเรือนที่ไม่คัดแยกขยะจะเสียค่าธรรมเนียม 60 บาทต่อเดือน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากอัตราเดิมที่เก็บ 80 บาทต่อเดือน สะท้อนความมุ่งมั่นของ กทม.ในการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมคัดแยกขยะ
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 166 ล้านบาท เป็น 664 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีขยะเกิน 1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะมีอัตราค่าบริการ 8,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นค่าเก็บและขน 3,250 บาท และค่ากำจัด 4,750 บาท
ด้านนายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.และผู้บริหารด้านความยั่งยืน ได้เผยแผนการลดขยะที่ท้าทาย โดยในปี 2567 ตั้งเป้าลดขยะ 200 ตันต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 500 ตันต่อวันในปี 2568 ก่อนจะไปถึงเป้าหมายที่ 1,000 ตันต่อวันในปี 2569
ความสำเร็จเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้วในปี 2566 ที่สามารถลดขยะได้เฉลี่ย 204 ตันต่อวัน หรือ 74,460 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประหยัดงบประมาณได้ถึง 141.47 ล้านบาท โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งตลาด 184 แห่ง สถานศึกษา 457 แห่ง ห้างสรรพสินค้า 114 แห่ง และโรงแรม 136 แห่ง ที่ร่วมกันแยกขยะได้กว่า 136 ตันต่อวัน
กทม.ได้เตรียมความพร้อมรองรับการดำเนินการตามข้อบัญญัติใหม่ โดยจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ลดหย่อนค่าธรรมเนียมผ่านแอปพลิเคชันและที่ฝ่ายรักษาความสะอาดฯ ทั้ง 50 เขต จากจำนวนบ้านเรือนกว่า 2 ล้านหลังคาเรือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้คัดแยกขยะแล้วประมาณ 50,000 ครัวเรือน โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบการคัดแยกขยะก่อนให้สิทธิ์
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่นี้ มีทั้งด้านบวกและด้านที่ต้องเฝ้าระวัง โดยด้านบวกคือการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะของ กทม. ลดการปนเปื้อนสารพิษในดินและน้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการย่อยสลายขยะ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างรายได้เสริมให้ครัวเรือนจากการขายขยะรีไซเคิล
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น การทิ้งขยะในที่สาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียม การลักลอบทิ้งขยะข้ามเขต และความเป็นธรรมในการตรวจสอบการคัดแยกขยะ ซึ่ง กทม. จะต้องมีมาตรการรองรับและระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ
การคัดแยกขยะไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือนเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีในวงกว้างทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ช่วยลดการปนเปื้อนสารพิษในดินและน้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มประสิทธิภาพการรีไซเคิล สร้างรายได้จากขยะรีไซเคิล และที่สำคัญคือการสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชน
ข้อบัญญัติใหม่นี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการจัดการขยะในกรุงเทพมหานคร ที่ใช้มาตรการทางการเงินเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนภายใน 180 วันหลังข้อบัญญัติมีผลบังคับใช้ นำไปสู่การพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน สมกับการเป็นมหานครระดับโลก
ข่าวแนะนำ