ปรับเกณฑ์ "บัตรสวัสดิการรัฐ" เสี่ยง 'คนจน' จริงตกหล่น!
ปรับเกณฑ์ "บัตรสวัสดิการรัฐ" เสี่ยง 'คนจน' จริงตกหล่น!
การปรับเกณฑ์รายได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: ก้าวสำคัญสู่ระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจปรับเกณฑ์รายได้สำหรับผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีกำหนดเริ่มใช้ในปี 2568 นโยบายดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของรัฐในการสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ต่อความต้องการของประชาชนในยุคปัจจุบัน
จากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.7% ในปี 2567 ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ค่าครองชีพของประชาชนจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ การปรับเกณฑ์รายได้จึงมีเป้าหมายเพื่อขยายการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี การปรับเกณฑ์ดังกล่าวอาจนำมาซึ่งทั้งโอกาสและข้อจำกัด ในด้านของการเพิ่มโอกาส หากมีการขยายเกณฑ์รายได้ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 10-15% ของประชากรที่มีรายได้ระหว่าง 120,000-150,000 บาทต่อปี ย่อมจะช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มประชากรดังกล่าวที่กำลังเผชิญกับปัญหาค่าใช้จ่ายสูง ในทางกลับกัน หากรัฐบาลเลือกที่จะเข้มงวดกับเกณฑ์รายได้มากขึ้น เพื่อเน้นให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มยากจนที่สุด ก็อาจทำให้กลุ่มที่มีรายได้เพียงพอกับการดำรงชีพในระดับเล็กน้อย แต่ยังคงมีภาระค่าใช้จ่ายสูงถูกตัดสิทธิ์ในการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ
นอกเหนือจากการชั่งน้ำหนักระหว่างการเพิ่มโอกาสหรือจำกัดสิทธิ์ผ่านการปรับเกณฑ์แล้ว ภาครัฐยังต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการคัดกรองและตรวจสอบคุณสมบัติผู้รับสิทธิ์ให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น จากข้อมูลการลงทะเบียนในปี 2565 ที่พบว่ามีผู้ลงทะเบียนกว่า 10% ที่แจ้งรายได้ไม่ตรงกับข้อมูลจริง สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างแม่นยำและทันสมัย ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียงบประมาณไปกับการจัดสรรสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ไม่ได้มีคุณสมบัติจริง และสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชนว่าระบบสวัสดิการมีความโปร่งใสและเป็นธรรม
อีกด้านหนึ่งของสมการที่รัฐบาลต้องคำนึงถึง คือ ผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินจากการปรับเกณฑ์การลงทะเบียนและแนวโน้มที่จะมีผู้เข้าถึงสวัสดิการรัฐเพิ่มมากขึ้น ตามการประมาณการของกระทรวงการคลัง หากเลือกขยายเกณฑ์รายได้เพื่อครอบคลุมผู้มีรายได้ปานกลางด้วย รัฐอาจต้องเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้จากเดิมราว 250,000 ล้านบาทในปี 2566 ไปสู่ระดับ 300,000-350,000 ล้านบาทในปี 2568
ในทางกลับกัน หากเลือกจำกัดจำนวนผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียน ด้วยการปรับลดเกณฑ์รายได้เพื่อเน้นช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่ยากจนที่สุดแทน ก็อาจช่วยประหยัดงบประมาณในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว การที่กลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจไม่ได้รับการหนุนเสริมอย่างเพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้เช่นกัน ดังนั้น ความท้าทายของรัฐบาลจึงอยู่ที่การแสวงหาจุดสมดุลระหว่างความรอบคอบทางการคลัง กับความครอบคลุมและประสิทธิผลของนโยบายสวัสดิการ
จากผลสำรวจความคิดเห็นในปี 2566 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประชาชนกว่า 70% ของผู้ที่เคยได้รับบัตรสวัสดิการคาดหวังว่าจะยังคงได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ต่อให้มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์รายได้ ขณะที่อีก 20% ที่มีรายได้ปานกลาง กลับวิตกว่าตนอาจถูกตัดสิทธิ์จากการรับสวัสดิการไป สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนต่อบทบาทของรัฐในการเป็นหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้ผ่านกลไกสวัสดิการ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง
ภาพรวมของการปรับเกณฑ์รายได้สำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐครั้งนี้ สะท้อนความพยายามของภาครัฐ ในการพัฒนาระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนและครอบคลุม เพื่อช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน บนพื้นฐานของความเป็นธรรมและการกระจายทรัพยากรที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม รัฐต้องใส่ใจกับการพัฒนาระบบบริหารจัดการ เพื่อยกระดับความโปร่งใสและความแม่นยำในการคัดกรองผู้รับสิทธิ์ ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการคลัง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า นโยบายสวัสดิการสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
แหล่งที่มา:
1. สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2566). ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ. กรุงเทพฯ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
2. กระทรวงการคลัง. (2566). รายงานการประมาณการงบประมาณสำหรับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปีงบประมาณ 2566-2568. กรุงเทพฯ: กระทรวงการคลัง.
3. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง. (2567). ภาวะเศรษฐกิจไทย ปี 2567. กรุงเทพฯ: กระทรวงการคลัง.
4. กรมบัญชีกลาง. (2565). รายงานสถิติการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำปี 2565. กรุงเทพฯ: กระทรวงการคลัง.
5. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2566). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
ข่าวแนะนำ