TNN ค่าไฟฟ้าพุ่งสูงสุดทะลุ 6 บาทต่อหน่วย กระทบผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

TNN

TNN Exclusive

ค่าไฟฟ้าพุ่งสูงสุดทะลุ 6 บาทต่อหน่วย กระทบผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

ค่าไฟฟ้าพุ่งสูงสุดทะลุ 6 บาทต่อหน่วย กระทบผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

ค่าไฟฟ้าไทยพุ่งสูง! แตะ 6 บาทต่อหน่วย กระทบค่าครองชีพและธุรกิจ รัฐบาลเตรียมมาตรการเยียวยา พร้อมแนวทางประหยัดไฟลดผลกระทบ

ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในงวด ก.ย.-ธ.ค. 67 โดยอาจพุ่งสูงสุดถึง 6 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้จะวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทางเลือกในการจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง ผลกระทบ มาตรการช่วยเหลือ แนวโน้มในอนาคต และข้อเสนอแนะเพื่อลดผลกระทบ


ปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าไฟฟ้าพุ่ง

การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากของค่าไฟฟ้าในครั้งนี้ เกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง 1.29 บาทต่อเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับงวดก่อน การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแม่เมาะที่มีต้นทุนต่ำมีความพร้อมในการผลิตลดลง และราคาก๊าซธรรมชาติเหลวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการในตลาดโลก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นมาก


3 ทางเลือกในการจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง

กกพ. ได้เสนอ 3 ทางเลือกในการจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างของ กฟผ. ได้แก่ 1) จ่ายคืนทั้งหมดในงวดนี้ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟพุ่งสูงถึง 6.01 บาท 2) ทยอยจ่ายคืนใน 3 งวด ค่าไฟจะอยู่ที่ 4.92 บาท หรือ 3) ทยอยจ่ายคืนใน 6 งวด ค่าไฟจะอยู่ที่ 4.65 บาท ซึ่งแต่ละทางเลือกมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกัน


ผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

การปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าครั้งนี้จะกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคโดยตรง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME ก็จะได้รับผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการจ้างงาน


ตัวอย่างค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในแต่ละระดับ


1. ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟเฉลี่ย 100 หน่วยต่อเดือน

- ค่าไฟปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 418 บาท (4.18 บาท/หน่วย)

- หากปรับขึ้นสูงสุดเป็น 6.01 บาท/หน่วย ค่าไฟจะเพิ่มเป็น 601 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 183 บาทหรือ 44%


2. ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟเฉลี่ย 300 หน่วยต่อเดือน

- ค่าไฟปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,254 บาท

- หากปรับขึ้นสูงสุด ค่าไฟจะเพิ่มเป็น 1,803 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 549 บาทหรือ 44% 


3. ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟเฉลี่ย 500 หน่วยต่อเดือน

- ค่าไฟปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,090 บาท 

- หากปรับขึ้นสูงสุด ค่าไฟจะเพิ่มเป็น 3,005 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 915 บาทหรือ 44%


4. ภาคธุรกิจที่ใช้ไฟเฉลี่ย 10,000 หน่วยต่อเดือน

- ค่าไฟปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 41,800 บาท

- หากปรับขึ้นสูงสุด ค่าไฟจะเพิ่มเป็น 60,100 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 18,300 บาทหรือ 44%


จากตัวอย่างจะเห็นว่า หากค่าไฟฟ้าปรับขึ้นสูงสุดถึง 6.01 บาทต่อหน่วยตามที่ กกพ. ประมาณการไว้ ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกระดับตั้งแต่ครัวเรือนไปจนถึงภาคธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ค่าไฟที่ต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้นถึง 44% ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพและต้นทุนการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากภาครัฐอย่างเหมาะสมและทันท่วงที


มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ

รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบ เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การลดหย่อนภาษีให้ภาคธุรกิจ การกำหนดโควตาค่าไฟฟ้าราคาถูกให้ SME เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับสาเหตุของการปรับขึ้นค่าไฟ เพื่อลดกระแสต่อต้านที่อาจเกิดขึ้น


แนวโน้มค่าไฟฟ้าในอนาคต

หากพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลก ทิศทางค่าเงินบาท และนโยบายพลังงานของไทย คาดว่าค่าไฟฟ้าในระยะข้างหน้ายังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีก ดังนั้น ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จึงควรเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ในระยะยาว


ข้อเสนอแนะในการลดผลกระทบค่าไฟฟ้า

นอกจากมาตรการช่วยเหลือจากรัฐแล้ว ประชาชนและภาคธุรกิจเองก็สามารถช่วยลดผลกระทบได้ ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เช่น เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟ ปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าไฟส่วนตัวแล้ว ยังช่วยให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพียงพออีกด้วย


การปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าในงวดนี้ถือว่าสูงมาก และจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งต้องการมาตรการเยียวยาจากภาครัฐเข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบ อย่างไรก็ดี ทุกภาคส่วนต่างมีบทบาทที่จะช่วยกันลดผลกระทบด้วยการประหยัดและใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน



ภาพ Getty Images

ข่าวแนะนำ