TNN รัฐบาลไทยเดินหน้าเต็มสูบ: เยียวยา-ฟื้นฟู-ปฏิรูป สร้างอนาคตประเทศ

TNN

TNN Exclusive

รัฐบาลไทยเดินหน้าเต็มสูบ: เยียวยา-ฟื้นฟู-ปฏิรูป สร้างอนาคตประเทศ

รัฐบาลไทยเดินหน้าเต็มสูบ: เยียวยา-ฟื้นฟู-ปฏิรูป สร้างอนาคตประเทศ

รัฐบาลไทยเร่งเยียวยาประชาชนและพัฒนาประเทศ อนุมัติงบช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล เปิดโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ จัดตั้งศาลแรงงาน แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และต่ออายุยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกิจโรงแรม

รัฐบาลไทยได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงเร่งปฏิรูปโครงสร้างประเทศในหลายด้าน ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา โดยมีการอนุมัติมาตรการต่างๆ ที่สำคัญ ทั้งการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ การช่วยเหลือเกษตรกรในโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ การจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัด การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงการต่ออายุยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกิจโรงแรมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งมาตรการเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ


อพยพคนไทยหนีสงครามอิสราเอล


สถานการณ์สงครามที่ยืดเยื้อในรัฐอิสราเอล ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างหนักต่อคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศดังกล่าว โดยมีคนไทยจำนวนกว่า 30,000 คนที่อาศัยอยู่ในรัฐอิสราเอล และกว่า 5,000 คนอยู่ในบริเวณฉนวนกาซาซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยสูง รัฐบาลไทยจึงได้ระดมความช่วยเหลือเพื่ออพยพคนไทยออกจากรัฐอิสราเอลในช่วงที่ผ่านมา โดยมีคนไทย 7,470 คนที่ได้รับการช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว


เพื่อให้การอพยพคนไทยในรัฐอิสราเอลเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมอีก 291,953,797 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและอพยพคนไทย สำหรับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นอกจากวงเงินงบประมาณใหม่แล้ว รัฐบาลยังได้จัดสรรงบประมาณไปพลางก่อนอีก 3 รายการ รวมวงเงินกว่า 515 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือคนไทยในรัฐอิสราเอลตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ


ช่วยเหลือเกษตรกรด้วยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง  


ในการประชุมครั้งเดียวกัน ครม. ยังได้เห็นชอบโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 โดยมีวงเงินงบประมาณรวม 29,980 ล้านบาท โครงการนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.68 ล้านครัวเรือน ในพื้นที่ 54 ล้านไร่ รวมถึงเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ประมาณ 2 แสนครัวเรือนในพื้นที่ 1.2 ล้านไร่ โดยรัฐจะสนับสนุนปุ๋ยในราคาครึ่งหนึ่ง ไม่เกินครัวเรือนละ 500 บาทต่อไร่ และไม่เกิน 20 ไร่ หรือ 10,000 บาทต่อครัวเรือน


โครงการปุ๋ยคนละครึ่งนี้จะช่วยแบ่งเบาต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้ประมาณ 10% ทำให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเข้าถึงปุ๋ยคุณภาพในราคาถูก ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของข้าว ตลอดจนกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เมื่อเทียบกับโครงการเดิมที่อุดหนุนผู้ปลูกข้าวไร่ละ 1,000 บาท


เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ


ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญของไทย รัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณกว่า 7,606 ล้านบาท สำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2567 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้งปี 2567/68 โครงการนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่รับประโยชน์ 125,113 ไร่ เพิ่มปริมาณน้ำ 114.56 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีประชาชนได้รับประโยชน์ถึง 67,470 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชน้ำ รวมทั้งซ่อมแซมอาคารชลศาสตร์ 444 แห่ง


จัดตั้งศาลแรงงานใน 2 จังหวัดหลัก


เพื่อรับมือกับปริมาณคดีแรงงานที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดสมุทรปราการและระยอง รัฐบาลจึงอนุมัติให้มีการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นใหม่ใน 2 จังหวัดนี้ นอกเหนือจากศาลแรงงานสาขาที่มีอยู่ ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาความไม่สะดวกของคู่ความในท้องที่ที่ต้องเดินทางไปศาล และภาระงานที่หนักเกินไปของศาลที่มีอยู่เดิม


การจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายราว 438 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปีแรก และต้องใช้อัตรากำลังข้าราชการตุลาการ 6 อัตรา ข้าราชการศาลยุติธรรม 24 อัตรา ส่วนศาลแรงงานจังหวัดระยอง จะมีค่าใช้จ่ายราว 74 ล้านบาทใน 3 ปี ใช้ข้าราชการตุลาการ 4 อัตรา และข้าราชการศาลยุติธรรม 24 อัตรา ทั้งนี้ นอกจากการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดแล้ว รัฐบาลยังแก้ไขกฎหมายเพื่อให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาครับผิดชอบงานของศาลแรงงานจังหวัดในท้องที่ด้วย เพื่อให้การทำงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน


เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5


ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ที่ประชุม ครม. จึงรับทราบผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ในปี 2567 โดยมีการกำหนดตัวชี้วัด (KPIs) การควบคุมปริมาณการปล่อยฝุ่น PM2.5 ให้กับจังหวัดเป้าหมาย 39 จังหวัดในปีงบประมาณ 2567 และอีก 15 จังหวัดในปีงบประมาณ 2568 ทั้งนี้จะมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในจังหวัดที่ยังไม่มี เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการประเมิน การจัดการปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพนี้ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ในการเป็นศูนย์กลางอาหารและการเกษตรของโลก และช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของฝุ่นพิษ ที่อาจสูงถึง 5,500-10,000 ล้านบาทต่อปี


ต่ออายุยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกิจโรงแรม


ในที่ประชุมเดียวกันนี้ ครม. ยังได้อนุมัติการขยายระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม ปีละ 40 บาทต่อห้องพัก ออกไปอีก 2 ปี ตั้งแต่ 1 ก.ค. 2567 ถึง 30 มิ.ย. 2569 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 แม้รัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณ 27 ล้านบาทต่อปีจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมนี้ แต่ก็ถือเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกิจโรงแรมสามารถฟื้นตัวและเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศ


—------------


มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่กระทบต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศให้พ้นจากสถานการณ์อันตราย การช่วยเหลือเกษตรกรให้มีต้นทุนการผลิตที่ถูกลง การปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ การอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางแรงงาน การแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการสนับสนุนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวที่สำคัญให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง 


มาตรการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานแบบบูรณาการของรัฐบาล ที่มุ่งแก้ไขปัญหาแบบครอบคลุมและตรงจุด พร้อมทั้งปูพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว การสานต่อนโยบายในทิศทางนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ไปได้อย่างมั่นคง และนำไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมในที่สุด



ภาพ Getty Images

ข่าวแนะนำ