TNN “เพลิงซอมบี้” ในแถบอาร์กติก อาจสร้าง “วงจรหายนะ” ผลักโลกเดือดเร็วขึ้น

TNN

TNN Exclusive

“เพลิงซอมบี้” ในแถบอาร์กติก อาจสร้าง “วงจรหายนะ” ผลักโลกเดือดเร็วขึ้น

“เพลิงซอมบี้” ในแถบอาร์กติก อาจสร้าง “วงจรหายนะ” ผลักโลกเดือดเร็วขึ้น

เพลิงซอมบี้ คือ ไฟป่าที่มอดดับไม่สนิทเต็มที่ แม้ผิวเผินจะดูว่ามันมอดไปแล้ว แต่อันที่จริง ไฟกำลังเผาผลาญอยู่ข้างใต้ แม้บนผืนดินจะปกคลุมด้วยหิมะในฤดูหนาวก็ตาม แล้วเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไหม้ผลิ ไฟที่คุกกรุ่นใต้ดิน ก็จะ “ฟื้นคืนชีพ” ขึ้นมาเผาไหม้อีกครั้ง

ในภูมิภาคอาร์กติก แคนาดา อะลาสกา และไซบีเรีย ตอนนี้ กำลังเผชิญกับ “เพลิงซอมบี้ (Zombie Fires)” เผาผลาญดินแดนฝั่งเหนือของโลกอย่างรุนแรง


เพลิงซอมบี้ คือ ไฟป่าที่มอดดับไม่สนิทเต็มที่ แม้ผิวเผินจะดูว่ามันมอดไปแล้ว แต่อันที่จริง ไฟกำลังเผาผลาญอยู่ข้างใต้ แม้บนผืนดินจะปกคลุมด้วยหิมะในฤดูหนาวก็ตาม แล้วเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไหม้ผลิ ไฟที่คุกกรุ่นใต้ดิน ก็จะ “ฟื้นคืนชีพ” ขึ้นมาเผาไหม้อีกครั้ง 


สื่อมวลชน รวมถึงนักวิจัยจำนวนไม่น้อย ให้ข้อสรุปว่า การเกิดขึ้นของเพลิงซอมบี้ มาจากอากาศแห้งในฤดูหนาว ส่งผลให้ไฟป่าและพื้นผิวหน้าดินที่มีใบไม้แห้งเป็นเชื้อไฟอย่างดีให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น


แต่งานวิจัยใหม่ที่ออกมา อาจจะทำให้ข้อสรุปไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าว เพราะต้นตอที่แท้จริง ๆ คือ ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ทำให้มันเป็นวัฏจักร หรือวงจรหายนะ เพราะหากโลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เพลิงซอมบี้เกิดบ่อยขึ้น เพลิงซอมบี้นี้เอง ก็จะทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย


สิ่งที่เกิดบนดิน กระทบถึงใต้ดิน


ในงานศึกษา Rate-induced tipping to metastable Zombie fires ได้ชี้ชัดว่า สิ่งที่ส่งผลให้เกิดเพลิงซอมบี้มากที่สุด นั่นคือ “สภาวะโลกเดือด” ที่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ เพราะหากเป็นผลมาจากความร้อนใต้พิภพ ความร้อนจะต้องส่งมาจากข้างล่างขึ้นสู่ผิวดินจนก่อให้เกิดการเผาไหม้จากใต้ดินขึ้นสู่ผิวดิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออุณหภูมิหน้าดินสูงขึ้น ก่อนจะเกิดเพลิงซอมบี้นั่นเอง


ดังนั้น สิ่งที่ส่งผลจึงเป็นเงื่อนไข “ภายนอก” มากกว่าจะเป็นเงื่อนไข “ภายใน” อย่างการที่ความร้อนใต้พิภพทะลุชั้นดินขึ้นมา คำถามคือ เงื่อนไขที่ว่านั้นคืออะไร


“เพลิงซอมบี้” ในแถบอาร์กติก อาจสร้าง “วงจรหายนะ” ผลักโลกเดือดเร็วขึ้น
ที่มา: Rate-induced tipping to metastable Zombie fires


กราฟข้างต้น จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ “โลกเดือด” ที่เป็นขั้นกว่าของสภาวะโลกร้อน “ส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญ” ต่อการเกิดขึ้นของเพลิงซอมบี้ นั่นเพราะ เมื่ออุณหภูมิของโลกเริ่มสูงขึ้น อัตราการเกิดของเพลิงซอมบี้ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย


แต่เพลิงซอมบี้นั้น ไม่ได้เผาไหม้ไปตลอด จะเห็นได้ว่า เมื่อผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ไฟก็จะมอดดับลง ในขณะที่โลกเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ตรงนี้ หมายความว่า เมื่อโลกถึง “อัตราเดือด” ณ จุดที่ “กราฟชันใกล้แตะจุดพีค” เท่านั้น จึงจะทำให้เพลิงซอมบี้เกิดขึ้นได้


และที่ภูมิภาคอาร์กติกเกิดเพลิงซอมบี้บ่อยครั้งนั้น ทั้งที่เป็นภูมิภาคเย็นยะเยือก นั่น เพราะภูมิภาคนี้ตามสถิติแล้วอุณหภูมิแตะจุดเดือดง่ายมาก 


ในงานศึกษา The Arctic has warmed nearly four times faster than the globe since 1979 ชี้ให้เห็นว่า อาร์กติกมีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในโลกถึง “4 เท่า” จากการศึกษาเปรียบเทียบ 5 หน่วยงานด้วยกัน


“เพลิงซอมบี้” ในแถบอาร์กติก อาจสร้าง “วงจรหายนะ” ผลักโลกเดือดเร็วขึ้น

ที่มา: The Arctic has warmed nearly four times faster than the globe since 1979


สอดคล้องกับงานศึกษา Overwintering fires rising in eastern Siberia ที่ได้เสนอเพิ่มเติมว่า ส่วนมากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น มักจะเป็นช่วงฤดูหนาว  โดยเฉพาะในไซบีเรีย ที่จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิมากถึงขนาดที่ทำให้อัตราการเกิดเพลิงซอมบี้ในดินแดนนี้เพิ่มสูงถึง 3.5% เลยทีเดียว


“เพลิงซอมบี้” ในแถบอาร์กติก อาจสร้าง “วงจรหายนะ” ผลักโลกเดือดเร็วขึ้น
ที่มา: Overwintering fires rising in eastern Siberia


รับมืออย่างไร?


เมื่อมาถึงตรงนี้ อาจจะสรุปได้ว่า ยิ่งโลกเดือด ยิ่งเร่งให้เกิดเพลิงซอมบี้ และยิ่งทำให้ภูมิภาคอาร์กติกค่อย ๆ สูญเสียความเป็น “ขั้วโลก” ที่เย็นยะเยือกไป


คำถามที่ตามมาคือ เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร?


งานศึกษา Rate-induced tipping in natural and human systems ได้ให้ข้อเสนอไว้ว่า การปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่ใช่เรื่องที่จะหยุดได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการอะไรใหม่ ๆ และมากยิ่งขึ้น


ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ ความพยายามไม่ให้เกิดเพลิงซอมบี้ลุกลามไปยังภูมิภาคอื่น ๆ หรือหากมีความสามารถที่จะออกนโยบายควบคุมการปล่อยคาร์บอนได้ ก็จะดียิ่งนั่นเอง


แหล่งอ้างอิง


ข่าวแนะนำ