ศาลรธน.ตัดสินวันนี้: อนาคตการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร?
วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องของ 40 สว. กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ท่ามกลางข้อครหาเรื่องคุณสมบัติ แม้นายพิชิตจะลาออกแล้ว แต่จะกระทบถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ หรือไม่ เราจะได้เห็นกัน
ในห้วงเวลาแห่งความผันผวนทางการเมือง วันนี้ (23 พ.ค.2567) เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำหน้าที่ "ผู้ตัดสิน" ในคดีร้อนที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เมื่อมีกำหนดนัดพิจารณาคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ที่ขอให้วินิจฉัยถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญในการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
จุดเริ่มต้นแห่งมหากาพย์
ความเป็นมาของเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่นายเศรษฐา ได้เสนอชื่อนายพิชิตต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี แต่กลับมีเสียงสะท้อนจากหลายฝ่ายถึงคุณสมบัติของนายพิชิตที่อาจขัดต่อเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ
โดยข้อกังขาอยู่ที่ประวัติของนายพิชิต ที่เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษจำคุกและถูกสภาทนายความลบชื่อออกจากทะเบียน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีลักษณะต้องห้ามที่ระบุไว้
"พิชิต" ลาออกแล้ว แต่ "เศรษฐา" ยังไม่พ้นข้อกังขา ?
หลังจากที่เรื่องราวบานปลายกลายเป็นดราม่าครึกโครมบนเวทีการเมือง นายพิชิตก็ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าจะเป็นการตัดปัญหาและทำให้ศาลยุติการพิจารณาคำร้องไปโดยปริยาย
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ได้แสดงความเห็นแย้งต่อกรณีการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีของนายพิชิต ชื่นบาน โดยระบุว่าการลาออกครั้งนี้ไม่ได้ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พ้นจากความรับผิดชอบแต่อย่างใด เนื่องจากประเด็นหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณา คือการกระทำของนายเศรษฐาในการเสนอชื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ตัวนายพิชิตที่ได้ลาออกไปแล้ว
เปิด 4 สมมติฐาน
ในการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของคำวินิจฉัย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ได้วางภาพรวมเอาไว้ 4 รูปแบบ คือ
1. ศาลอาจไม่รับคำร้องไว้พิจารณา หากเห็นว่าข้ออ้างและหลักฐานยังไม่เพียงพอ
2. ศาลอาจรับคำร้องไว้พิจารณา ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายพิชิตและนายเศรษฐา
3. ศาลอาจรับคำร้อง แต่ยังไม่พิพากษาให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการพิจารณา
4. ศาลอาจรับคำร้องเฉพาะกรณีของนายพิชิต โดยไม่รวมถึงนายเศรษฐา
โดยแน่นอนว่าหากศาลเห็นว่าการแต่งตั้งนายพิชิตมีความผิดปกติ และนายเศรษฐาไม่อาจดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ ก็ย่อมส่งผลให้เก้าอี้ผู้นำรัฐบาลต้องว่างลง และเป็นภาระของสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ขึ้นมาแทน
ศ.จรัญชี้ ศาลฯใช้ดุลพินิจ คำนึงประโยชน์ส่วนรวม
ในขณะเดียวกัน ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ได้ให้ความเห็นต่อคำร้องของ 40 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะจำหน่ายคดีหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับการใช้ดุลพินิจของศาลฯ โดยจะต้องพิจารณาถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ศ.จรัญยังได้อธิบายให้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่างคำสั่งศาลฎีกากับคำพิพากษา รวมถึงเงื่อนไขเรื่องโทษจำคุกในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(7) และ 160(7) ซึ่งศาลฯจะต้องนำมาวินิจฉัยประกอบกับการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายพิชิตด้วย เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นธรรมในการพิจารณาคดีนี้
จากคำร้อง 40 สว. สู่บทเรียนธรรมาภิบาล
ไม่ว่าบทสรุปของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นเช่นไร เหตุการณ์นี้ก็เป็นการทดสอบให้เห็นถึงพลังของภาคประชาชนและความเข้มแข็งของกลไกตรวจสอบอย่างเป็นรูปธรรม
จากการยื่นคำร้องของ 40 สว. ไปจนถึงสถาบันศาลที่ทำหน้าที่อย่างอิสระในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายสูงสุด ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่าอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงนั้น มาจากปวงชนชาวไทย และทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะถามหาความชอบธรรมในการบริหารประเทศของรัฐบาลได้เสมอ
ดังนั้น ในทุกย่างก้าวของผู้บริหารประเทศ การยึดมั่นในหลักนิติธรรมและการแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนจึงเป็นเงื่อนไขที่ขาดเสียมิได้ เพราะเสียงเรียกร้องให้มีธรรมาภิบาลที่ดังกึกก้องในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กระแสข่าวที่ผ่านเลยไป หากแต่จะยังคงสะท้อนกลับมาเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
ไม่ว่าคำวินิจฉัยในคดีดังกล่าวจะออกมาในทิศทางใด แต่ทุกฝ่ายต่างก็ต้องเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ขึ้นใจ เพื่อนำไปสู่การเมืองที่มีคุณภาพ และเป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ท่ามกลางความท้าทายใหม่ ๆ ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
ภาพ รัฐบาลไทย
ข่าวแนะนำ