มหัศจรรย์ 'ทุ่งกุลาร้องไห้' รัฐเดินเครื่องพัฒนาสู่มาตรฐานข้าวหอมระดับโลก
ทุ่งกุลาร้องไห้ ดินแดนในตำนานที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าความแห้งแล้งกันดาร แต่เหตุใดวันนี้กลับกลายเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในประเทศ ? และกำลังจะก้าวไกลไปสู่การเป็นข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลก
ท่ามกลางพื้นที่เกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" และเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นเลิศของประเทศไทย นั่นคือ "ทุ่งกุลาร้องไห้" ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 2 ล้านไร่ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร
ทุ่งกุลาร้องไห้ในอดีต ผืนแผ่นดินแห้งแล้งแสนกันดาร
ในอดีต ทุ่งกุลาร้องไห้ เคยเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มต่ำ มีปัญหาทั้งน้ำท่วมในฤดูฝนและความแห้งแล้งจัดในฤดูแล้ง ดินเป็นดินทรายจัด ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงเป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรมอย่างมาก
แต่ในปัจจุบัน ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้กลายเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดของไทย จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทาน และการปรับปรุงบำรุงดิน ทำให้ทุ่งกุลาร้องไห้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าวนาปี โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ที่ให้ผลผลิตคุณภาพสูง เป็นที่ต้องการของตลาด
จนได้รับการยกย่องเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดและเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ นับเป็นการพลิกฟื้นผืนดินครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดจากพลังความร่วมมือ จนกลายเป็นตำนานความสำเร็จของการพัฒนาการเกษตรไทย
รัฐบาลทุ่มเทผลักดัน ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่เวทีโลก
ในยุคปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จึงได้วางแผนยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ให้ก้าวไกลไปสู่ตลาดโลก ผ่านการพัฒนาครบวงจร ทั้งการบริหารจัดการแหล่งน้ำและคุณภาพดิน การส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรม เพื่อยกระดับการผลิตข้าวหอมมะลิให้ได้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดสากล นับเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคง พร้อมนำพาข้าวหอมมะลิไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก
ความภาคภูมิใจของคนไทย สู่ครัวโลก
ปัจจุบัน ทุ่งกุลาร้องไห้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2 ล้านไร่ ใน 5 จังหวัดของภาคอีสาน ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นเลิศ ที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและประเทศอย่างมหาศาล
สถิติจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ในปี 2564 ไทยสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิได้ถึง 1.7 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 39,851 ล้านบาท โดย 70% ของข้าวหอมมะลิที่ส่งออกมาจากทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิเพื่อการส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยมีตลาดส่งออกหลักได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และบรูไน นับเป็นความภูมิใจของคนไทยที่ได้เห็นข้าวหอมมะลิคุณภาพเยี่ยมจากทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ผลวิจัยการันตีมาตรฐาน คุณภาพชั้นเลิศ
ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงในระดับโลกเท่านั้น คุณภาพของข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ ยังได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ จากผลการศึกษาวิจัยของ สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ กรมการข้าว ปี 2563 ซึ่งได้เปรียบเทียบคุณภาพข้าวหอมมะลิ 105 จากแหล่งปลูกต่างๆ พบว่า ข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้มีคุณภาพดีที่สุด ทั้งในด้านความหอม ความขาวใส รูปร่างเมล็ดที่สวยงาม และคุณค่าทางโภชนาการ โดยมีปริมาณอมิโลสต่ำ ทำให้ข้าวมีความนุ่ม เหนียว รับประทานอร่อย อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เหมาะแก่การบริโภคเพื่อสุขภาพอีกด้วย งานวิจัยนี้จึงยืนยันถึงศักยภาพของทุ่งกุลาร้องไห้ในการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพสูงได้อย่างไม่มีที่ติ
มรดกทางวัฒนธรรม สืบสานสู่ลูกหลาน
ท้ายที่สุดนี้ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าเกษตรหรือพืชเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอีสานมาช้านาน เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าควรแก่การอนุรักษ์ไว้
การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้อย่างยั่งยืน จึงไม่ใช่แค่การสร้างรายได้ให้ประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการธำรงรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันงดงามของคนไทยเอาไว้ด้วย เพื่อส่งต่อเป็นมรดกอันล้ำค่าแก่ลูกหลานรุ่นต่อไปในอนาคต ให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยสืบไป
ชื่อของ "ทุ่งกุลาร้องไห้" นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงอดีตอันแสนแร้นแค้นของผืนดินแห่งนี้ ที่เคยเป็นทุ่งกันดารกว้างใหญ่ จนผู้คนที่เดินทางผ่านต้องร้องไห้ด้วยความทุกข์ยาก แม้วันนี้ทุ่งกุลาร้องไห้จะผันแปรกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ผลิตข้าวหอมมะลิเลิศรสส่งขายทั่วโลก ทว่าชื่อเรียกนี้ยังคงหลงเหลือ ตราตรึงอยู่ในแผ่นดิน บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาให้คนรุ่นหลังได้รู้จักถึงที่มาของชื่อและพัฒนาการของผืนดินแห่งนี้ ที่จากเคยแห้งแล้งกันดาร วันนี้กลับกลายเป็นผืนดินที่หล่อเลี้ยงข้าวหอมมะลิชั้นเลิศของไทยสู่ครัวโลก
เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง
ภาพ Getty Images
----------------------------------
อ้างอิงแหล่งที่มา
สถิตินำเข้า-ส่งออก กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
https://www.dft.go.th/th-th/dft-service-data-statistic/cid/604
กรมการข้าว
https://www.ricethailand.go.th/page/34440
คุณภาพเมล็ดข้าวทางเคมี
https://webold.ricethailand.go.th/rkb3/title-index.php-file=content.php&id=3-2.htm
ข่าวแนะนำ