นายกฯ “เศรษฐา” ลุยภูเก็ต ประเดิมปลุกท่องเที่ยวกู้เศรษฐกิจ
“ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน นำคณะ ลุย 2 จังหวัดฝั่งอันดามัน “ภูเก็ต-พังงา” เดินหน้าขับเคลื่อนการ ท่องเที่ยวทุกมิติ หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น กระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เตรียมพิจารณาฟรีวีซ่าอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวจีน พร้อมขยายสนามบินภูเก็ต สุวรรณภูมิและเชียงใหม่”
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่รับฟังปัญหาและอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา ระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค. 2566 นับเป็นการประเดิมภารกิจแรก หลังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย โดยนำคณะออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังจุดหมายที่ท่าอากาศยานภูเก็ต โดยมีนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลด้านการบริการนักท่องเที่ยว และปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันเลือกลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เป็นที่แรกเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ พร้อมระบุว่า
“เราต้องลืมเรื่องพรรคการเมือง เราต้องเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ พรรคเพื่อไทยไม่มี สส.แม้แต่คนเดียวใน จ.ภูเก็ต แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ตกต่ำมาก และประเทศอื่นเจริญเติบโตไปเยอะมาก ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด ซึ่งไตรมาส 4 เป็นไตรมาสที่สำคัญอย่างยิ่งของการท่องเที่ยวในประเทศไทย และการ ท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ดีที่สุดให้กับเราในภาวะเศรษฐกิจถดถอย”
นายกรัฐมนตรี ยืนยันด้วยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ไม่ได้ไปเพื่อสั่งการ แต่เป็นการรับฟังความคิดเห็น เพื่อรวบรวม นำไปประกอบการจัดทำ
นโยบายรัฐบาล จึงอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ “พรรคเพื่อไทย” จะขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวในทุกๆ มิติ ทั้งเรื่องสายการบิน อากาศยาน เรื่องความปลอดภัย ความมั่นคงและการทำวีซ่าของประเทศต่างๆ ที่คาดว่าจะมีการยกเว้น และบางประเทศอาจจะมีการยืดระยะเวลาการอยู่ได้ด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำว่า สนามบินคือจุดแรกที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว จึงอยากรับฟังปัญหาและพิจารณาว่า จะดำเนินการอะไรในอนาคต เพื่อร่างนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของท่าอากาศยาน ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในระยะสั้นคือการท่องเที่ยว ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าประเทศไทยเพียงร้อยละ 30 เนื่องจากประเทศจีนกำลังเผชิญสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงไม่สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวจีน เดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลไทย ต้องเร่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม และเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศหลังจากนี้ จะมีการหารือเรื่องการขยายท่าอากาศยาน ทั้ง ภูเก็ต สุวรรณภูมิ และเชียงใหม่ ส่วนแนวทางในการสร้างสนามบินใน จ.พังงา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ต้องปรึกษาหารือ กับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
แน่นอนว่า การลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่พลาดเช็กเรตติ้ง “ย่านเมืองเก่าภูเก็ต” เพื่อดูบรรยากาศการค้าการขายในพื้นที่ รวมทั้งรับฟังปัญหาจาก ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปจัดทำแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติขอถ่ายภาพเซลฟี่ตลอดเส้นทาง ขณะที่บรรดาร้านค้า ต่างก็นำขนมมาให้ “นายกฯ เศรษฐา” ทดลองชิม ไม่ว่าจะเป็นนน ไอศกรีมรสกาแฟ มัฟฟิน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะ ยังได้แวะชม
ร้านบ้าน 92 ภูเก็ตโอลด์ทาวน์ และชิมผัดหมี่ฮกเกี้ยน พร้อมทดลองปั้นขนมอั่งกู๊เตาแดง ขนมมงคลที่ใช้ในเทศกาลตรุษจีน ไหว้เทวดา และงานแต่งงานของชาวบาบ๋าภูเก็ต จุดนี้มีผู้ปกครองพาลูกชายซึ่งเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 3 มายืนรอเพราะอยากเห็นหน้า นายกฯ คนใหม่ ซึ่งเจ้าตัวได้เข้าไปทักทายพร้อมกับจับมือและโอบไหล่ถ่ายรูปอย่างเป็นกันเอง สร้างรอยยิ้มให้เด็กชาย ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดผู้นำประเทศ
ส่วนในช่วงค่ำ นายกฯ เศรษฐา ได้ไปพบปะผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวที่ ถ.บางลา หาดป่าตอง เพื่อหารือถึงการจัดโซนนิ่งขยายเวลาเปิดสถานประกอบการบันเทิงในพื้นที่หาดป่าตอง ก่อนจะอำลาภูเก็ต เดินทางต่อไปเขาหลัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ในวันที่ 26 ส.ค.2566 เพื่อพบปะพูดคุย ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว เรียกได้ว่า งานนี้ นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน “ ใช้เวลาทุกนาทีกับการลงพื้นที่เก็บข้อมูล จากผู้คนที่เป็นตัวจริงเสียงจริงในพื้นที่
ข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยว จับ-จ่ายใช้-สอยในประเทศไทย รายงานเป้าหมาย นักท่องเที่ยวในสิ้นปี 2566 ในกรณีที่ดีที่สุด (best case scenario) จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศจำนวน 25-30 ล้านคน พร้อมคาดว่า จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยว ต่างชาติรวม 1.5 ล้านล้านบาท โดย 5 อันดับแรก นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยมากที่สุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 กรกฎาคม 2566 พบว่า เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย 2.4 ล้านคน นักท่องเที่ยวจีน 1.8 ล้านคน นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 913,168 คน นักท่อเงที่ยวอินเดีย 888,807 คน และ นักท่องเที่ยวรัสเซียจำนวน 856,503 คน
เรียบเรียงโดย
ปุลญดา บัวคณิศร