เที่ยวป่าต้องระวัง "ไข้รากสาดใหญ่" เชื้ออันตรายจาก "ตัวไรอ่อน"
กรมควบคุมโรคแนะข้อควรระวังสายเที่ยวป่า แคมป์ปิ้ง ติดเชื้อไข้รากสาดใหญ่ ซึ่งมี "ตัวไรอ่อน" ที่พบชุกชุมในป่าเป็นพาหะนำโรค หลังกลับจากป่าหากมีอาการไข้ต้องสงสัยควรรีบพบแพทย์
โรคไข้รากสาดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเซีย (Rickettsia) ที่มีตัวไรอ่อนเป็นพาหะนำโรค โดยตัวไรอ่อนมีขนาดเล็กมาก มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มักอาศัยอยู่ในพุ่มไม้ หรือทุ่งหญ้า เมื่อเข้าไปแหล่งที่อยู่ของตัวไรอ่อน อาจจะถูกกัด หรือไรอ่อนอาจจะกระโดดเกาะติดมาตามเสื้อผ้าและกัดผิวหนังได้ ยิ่งหากไปเกาบริเวณที่ถูกกัดก็จะทำให้ผิวหนังเปิด และทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น และแพร่พันธุ์และเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยอาการที่เกิดขึ้น หากถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัดประมาณ 10 ถึง 12 วัน จะมีอาการ
- ปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น ไอ
- มีอาการตาแดง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยตัวอ่อนเพลีย
- มีผื่นแดงละเอียด
- มีแผลคล้ายบุหรี่จี้ในบางราย
โรคไข้รากสาดใหญ่ ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นการป้องกันความเสี่ยงของการติดเชื้อ คือการเลี่ยงการสัมผัสหรือถูกตัวไรอ่อนกัด ซึ่งมีวิธีดังนี้
- สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด
- ทายากันยุง หรือสมุนไพรกันยุง
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม เช่น ทุ่งหญ้า ชายป่า หรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง
- หลังออกจากป่า ต้องอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและสระผม
- นำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาด
หากเที่ยวจากการเดินป่า ตั้งแคมป์กลับมา แล้วมีไข้ หรือมีอาการข้างต้น ภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อรับการรักษาโดยเร็วสามารถช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้
ข้อมูล : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ภาพ : ทีมกราฟิก TNN
ข่าวแนะนำ