TNN “โรคโปลิโอ” คืนชีพ! ระบาด 22 ประเทศ สธ.ตั้งการ์ดรับมือ

TNN

สังคม

“โรคโปลิโอ” คืนชีพ! ระบาด 22 ประเทศ สธ.ตั้งการ์ดรับมือ

“โรคโปลิโอ” คืนชีพ! ระบาด 22 ประเทศ สธ.ตั้งการ์ดรับมือ

“โรคโปลิโอ” เริ่มกลับมาระบาด! 22 ประเทศพบผู้ป่วยแล้ว สธ.จับตาสถานการณ์ใกล้ชิดตั้งการ์ดรับมือ

วันนี้ (21 ธ.ค. 65)นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2565 โดยระบุว่า ขณะนี้เริ่มมีรายงานพบผู้ป่วยโรคโปลิโอ ซึ่งทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลันในหลายประเทศ หลังจากไม่พบผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นระยะเวลานานหลายปี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 21 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558

ทั้งนี้ มีรายงานพบผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์ธรรมชาติ 30 ราย ในประเทศปากีสถาน อัฟกานิสถาน และโมซัมบิก และผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ 577 ราย ใน 22 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซีย ที่พบผู้ป่วย 4 ราย ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ แม้ว่าไทยจะไม่มีผู้ป่วยโรคโปลิโอมานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยรายสุดท้ายคือในปี 2540

โดยที่ประชุมวันนี้ ได้มีการพิจารณา และเห็นชอบ 3 เรื่อง ดังนี้

1. ข้อเสนอมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย เมื่อมีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ ให้ทุกจังหวัดเร่งรัดความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในเด็ก ประชาสัมพันธ์ฉีดกระตุ้น ประเมินความเสี่ยง ซักซ้อมแผน รณรงค์การให้วัคซีนเสริมในพื้นที่เสี่ยง และผลักดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาวัคซีน ดำเนินการจัดหาวัคซีน IPV

2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ การกำจัดโรคหัด และหัดเยอรมัน ระดับชาติ เพื่อให้การดำเนินงานกวาดล้างโปลิโอของไทยมีความเข้มแข็ง รวมถึงการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมัน และต้องมีการขับเคลื่อนมาตรการอย่างต่อเนื่อง

3. เห็นชอบการยกเว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ในการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคโควิด-19 ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 66

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานด้านวัคซีนโควิด-19 และผลการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว 145.3 ล้านโดส รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม จำนวน 57.5 ล้านคน คิดเป็น 82.6% ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ 53.9 ล้านคน คิดเป็น 77.6% และฉีดเข็มกระตุ้น 33.8 ล้านโดส ให้บริการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ให้กับประชาชนกว่า 1.9 หมื่นคน ส่วนในเด็กอายุ 6 เดือน-4 ปี รับวัคซีนแล้ว 49,000 คน

ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) และที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 65 มีคำแนะนำให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยใช้วัคซีนที่มีในปัจจุบัน ซึ่งยังมีประโยชน์ในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรค สามารถใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี สู้กับสายพันธุ์ที่ระบาด คือ โอมิครอน BA.5 และ BA.2.75 ได้ ไม่จำเป็นต้องรอวัคซีน mRNA bivalent เพราะเวลานี้สถานการณ์ระบาดเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ได้ย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด จัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนหลักในทุกจังหวัดและทุกอำเภอ (COVID-19 Vaccination Center) ที่ประชาชนเข้าถึงได้สะดวกและทั่วถึง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบสถานที่ และวันเวลาที่เปิดให้บริการ 

นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมรวมกลุ่มของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก ประกอบกับไทยเข้าสู่ฤดูหนาว เชื้อไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น และแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการปอดอักเสบ และใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขดูแลได้ ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์) ถึง 97% ทั้งหมดเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน

กระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายเร่งรัดรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม มีเป้าหมายให้ทุกจังหวัดฉีดวัคซีนรวมกัน 2 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนธ.ค. 65 เพื่อลดการป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิต โดยจัดให้มีหน่วยฉีดวัคซีนทั้งในโรงพยาบาล และออกหน่วยฉีดวัคซีนเชิงรุกนอกโรงพยาบาล

ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน สามารถฉีด LAAB ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านได้ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อป้องกันก่อนการติดเชื้อ และใช้เสริมการรักษาในรายที่ติดเชื้อมาไม่นาน 

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ในปี 65 หลังจากผ่อนคลายมาตรการ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากกว่า 10 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม และได้รับความเชื่อมั่นด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้แนวคิด Health for Wealth ช่วยพัฒนาประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนโยบาย Medical Hub มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจร และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศอีกทางหนึ่ง

ข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข 

ภาพจาก  : AFP 

ข่าวแนะนำ