หมอเตือน! แสบหน้าอก เรอบ่อย ระวังกรดไหลย้อนเสี่ยงมะเร็ง

หมอเจด เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “หมอเจด” ได้โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ เรื่อง แค่แสบท้อง? ระวัง! กรดไหลย้อนเสี่ยงมะเร็ง!

โดยระบุว่า หลายคนอาจเคยมีอาการ “แสบหน้าอก เรอบ่อย จุกแน่นกลางอก” แล้วคิดว่าแค่กินรสจัด นอนดึก หรือเครียดมากไป
แต่รู้มั้ยว่านี่อาจเป็นสัญญาณของ “กรดไหลย้อน” ที่ถ้าปล่อยไว้เรื้อรัง เสี่ยงถึงขั้นมะเร็งหลอดอาหารเลยทีเดียว

หมอเตือน! แสบหน้าอก เรอบ่อย ระวังกรดไหลย้อนเสี่ยงมะเร็ง

สรุปข่าว

หมอเจด เตือน “แสบหน้าอก เรอบ่อย จุกแน่นกลางอก” อาจเป็นสัญญาณของ “กรดไหลย้อน” ที่ถ้าปล่อยไว้เรื้อรัง เสี่ยงถึงขั้นมะเร็งหลอดอาหา

วันนี้ลยอยากมาเล่าให้ฟังนะ ว่า กรดไหลย้อนจริงๆ แล้วมีทั้งหมด 4 ระยะ แต่ระยะมีอาการยังไง จะได้รีบป้องกันไว้ก่อนเป็นมะเร็ง
 

1. กรดไหลย้อนคืออะไร? ทำไมใครๆ ก็เป็น

ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนนะว่า กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD)
 คือภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร
โดยปกติแล้วในร่างกายเราจะมี "กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง" (Lower Esophageal Sphincter)
ทำหน้าที่เหมือนประตูปิดระหว่างกระเพาะกับหลอดอาหาร แต่ถ้ากล้ามเนื้อนี้อ่อนแรงหรือเปิดบ่อยเกินไป กรดก็จะไหลย้อนขึ้นมาได้
สาเหตุมีหลายอย่าง เช่น
-กินแล้วนอนทันที
-น้ำหนักเกิน/อ้วนลงพุง
-ดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ หรือเครื่องดื่มมีคาเฟอีน
-ความเครียดและพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม

อาการที่พบบ่อย ได้แก่

-แสบร้อนกลางอก
-เรอบ่อย รู้สึกขมในปาก
-จุกแน่น คล้ายอาหารไม่ย่อย
-เสียงแหบ ไอเรื้อรัง เจ็บคอเรื้อรัง

 2. กรดไหลย้อน 4 ระยะ แยกยังไง? อันไหนน่ากลัว

อาการของกรดไหลย้อนไม่ได้เหมือนกันทุกคน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ ตามนี้เลย

- ระยะที่ 1 อาการน้อยๆ แต่เริ่มรบกวน
อาจมีอาการแค่ตอนกินรสจัด หรือนอนผิดเวลา เช่น เรอบ่อย แสบร้อนกลางอกบางครั้งแต่ยังไม่ถึงกับทรมาน
สิ่งที่ควรทำคือ ปรับพฤติกรรม เช่น ไม่กินอิ่มเกินไป เลี่ยงของมัน ชา กาแฟ และพยายามอย่านอนทันทีหลังอาหาร
- ระยะที่ 2: เริ่มมีอาการชัดเจนและถี่ขึ้น
มีอาการแสบกลางอกบ่อยขึ้น อาจเกิดทุกสัปดาห์ หายใจไม่สุด  ท้องอืดเรื้อรัง
สิ่งที่ควรทำคือ นอกจากปรับพฤติกรรมแล้ว ควรเริ่มปรึกษาหมอและอาจต้องเริ่มใช้ยา
เช่น ยาลดกรด หรือกลุ่ม Proton Pump Inhibitor (PPI)
- ระยะที่ 3: อักเสบเรื้อรัง หลอดอาหารเริ่มเสีย
การอักเสบเริ่มทำให้ผนังหลอดอาหารบวมแดงหรือเกิดแผล อาจมีเสียงแหบ ไอเรื้อรัง เลือดปนในเสมหะหรืออาเจียนได้
สิ่งที่ควรทำคือ ต้องรักษาอย่างจริงจัง ควบคุมอาการด้วยยา และอาจต้องส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารเพื่อดูความเสียหายภายใน
- ระยะที่ 4: เสี่ยงกลายเป็นมะเร็ง
เรียกว่า Barrett’s Esophagus เป็นภาวะที่เซลล์เยื่อบุหลอดอาหารเปลี่ยนไปเป็นลักษณะผิดปกติ เสี่ยงกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหาร
สิ่งที่ควรทำคือ ต้องติดตามอาการเป็นระยะๆ ส่องกล้องเป็นประจำ และในบางคนอาจต้องผ่าตัดหรือรักษาเฉพาะทางร่วมด้วย

3. ทำไมถึงเสี่ยง “มะเร็งหลอดอาหาร”?


การที่กรดจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาบ่อยๆ ทำให้เยื่อบุหลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง เมื่อเซลล์โดนกระตุ้นซ้ำๆ มันจะ “พยายามเปลี่ยนตัวเอง” ให้ทนกรดได้มากขึ้น จนเกิดเป็นภาวะ Barrett’s Esophagus ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ (metaplasia) นำไปสู่ความเสี่ยงมะเร็งในอนาคต แม้โอกาสจะไม่สูงมาก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา โอกาสแย่ลงก็สูงขึ้นทุกปี

4. รักษายังไงดี? แค่กินยาพอไหม

วิธีการรักษากรดไหลย้อนให้ดีขึ้นตามนี้ได้เลย

ปรับพฤติกรรม
-ไม่กินแล้วนอนทันที รออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง
-กินมื้อเล็กๆ แต่บ่อย
-งดของทอด ของมัน อาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
-งดชา กาแฟ โซดา แอลกอฮอล์
-ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะอ้วน

เสริมสมดุลในระบบย่อยด้วย “โพรไบโอติกส์”
-โพรไบโอติกส์คือจุลินทรีย์ดีที่ช่วยสร้างสมดุลในลำไส้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อกรดไหลย้อนมากกว่าที่หลายคนคิด:
ช่วยลดแก๊สในกระเพาะ
จุลินทรีย์ดีช่วยลดแบคทีเรียที่ผลิตแก๊สในกระเพาะและลำไส้ ทำให้ลมไม่ตีขึ้นมา ช่วยลดแรงดันที่ผลักกรดขึ้นไปหลอดอาหาร
-ลดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะ
โพรไบโอติกส์ยังช่วยผลิตกรดไขมันสายสั้น (เช่น Butyric acid) ที่ช่วยฟื้นฟูเยื่อบุกระเพาะให้แข็งแรง ลดอาการแสบร้อนเมื่อเจอกับกรด

ใช้ยา
-กลุ่มยาลดการหลั่งกรด เช่น PPI (omeprazole, esomeprazole)
-ยาเคลือบกระเพาะหรือลำไส้
-บางกรณีอาจใช้ยาเร่งการเคลื่อนตัวของอาหารในกระเพาะ (prokinetics)

-ส่องกล้อง-ผ่าตัด (ในบางราย)
ถ้าเป็นระยะรุนแรงหรือพบว่าเยื่อบุเปลี่ยนแปลง ต้องมีการติดตามระยะยาว หรือรักษาด้วยการผ่าตัด
 เช่น การตัดเนื้อเยื่อผิดปกติ การผ่าตัดซ่อมหูรูด ฯลฯ

5. สรุปแบบเข้าใจง่าย

อาการเล็กๆ น้อยๆ ที่เราคิดว่าไม่เป็นไร ถ้าปล่อยไว้นานไปมันอาจกลายเป็นมะเร็งได้ในอนาคตนะครับ
เพราะฉะนั้น กรดไหลย้อนเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่กินยาครั้งสองครั้งแล้วหาย
ถ้าเริ่มมีอาการบ่อยขึ้นทุกเดือน หรือเริ่มกระทบการใช้ชีวิต ควรหาหมอเพื่อตรวจเช็กก่อนที่จะสายเกินไป


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- เช็กด่วน! สัญญาณเตือนอาจเป็น "มะเร็ง" ได้ใน 6 เดือน อาการอะไรบ้างที่ต้องจับตา

- 5 ปัจจัย คนไทยอายุต่ำกว่า 50 ปีป่วย "มะเร็ง" มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า

-โรคหลอดเลือดสมอง! คร่าชีวิตคนไทยสูงรองจากมะเร็ง เช็กอาการ-วิธีป้องกัน


https://www.tnnthailand.com/health/193634/

ที่มาข้อมูล : หมอเจด

ที่มารูปภาพ : AFP

avatar

ธัญวรัตน์ น่วมภักดี

แท็กบทความ

กรดไหลย้อน
แสบท้อง
มะเร็งหมอเจด
กรดไหลย้อนเสี่ยงมะเร็ง