ติดสมาร์ทโฟน ตัวการก่อ "โรคอ้วน" รีบเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนสาย

4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก หรือ World Obesity Day โดยสหพันธ์โรคอ้วนโลก ได้กำหนดประเด็นรณรงค์ในหัวข้อ "เปลี่ยนระบบ สุขภาพดีขึ้น" เพื่อสงเสริมให้คนทั่วโลกตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายต่อสุขภาพจากโรคอ้วน พร้อมหาวิธีป้องกันร่วมกัน

เราไม่สามารถปฏิเสธอได้ว่า โรคอ้วนนั้นเป็นภัยคุกคามสุขภาพต่อผู้คนทั่วโลก เป็นโรคเรื้อรังที่กลับมาเป็นซ้ำได้ทุกเมื่อ หากคุณใช้ชีวิตตามใจปากมากจนเกินไป และไม่ใช่แค่การทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ แต่ยังมีพฤติกรรมและวิถีชีวิตบางอย่าง ที่ส่งผลให้คนเสี่ยงเป็นโรคอ้วนมากขึ้น หนึ่งในนั้น คือการติดโทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟน

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เคยออกมาให้ข้อมูลว่า ในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร แต่บางกลุ่มมีพฤติกรรมติดอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เช่น พกติดตัว ต้องวางไว้ใกล้ตัวเสมอ รู้สึกกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัวหรือแบตเตอรี่หมด คอยเช็กข้อความจากโซเชียลมีเดีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยแม้ไม่มีเรื่องด่วน ตื่นนอนจะเช็กโทรศัพท์ก่อนและยังคงเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน ติดเกม หรือในแต่ละวันใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนผ่านโทรศัพท์ในโลกออนไลน์มากกว่าพูดคุยกับคนรอบข้าง


ติดสมาร์ทโฟน ตัวการก่อ "โรคอ้วน" รีบเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนสาย

สรุปข่าว

โรคอ้วนนั้นเป็นภัยคุกคามสุขภาพต่อผู้คนทั่วโลก ไม่ใช่แค่การทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ แต่ยังมีพฤติกรรมและวิถีชีวิตบางอย่าง ที่ส่งผลให้คนเสี่ยงเป็นโรคอ้วนมากขึ้น หนึ่งในนั้น คือการติดโทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟน

พฤติกรรมเหล่านี้จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) และบางรายอาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ หากไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว โทรศัพท์เเบตหมด หรือว่าอยู่ในที่ไร้สัญญาณ         

อาการติดโทรศัพท์มือถือจะส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะด้านสุขภาพร่างกาย เช่น

1. นิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้วกด จิ้ม สไลด์ หน้าจอเป็นระยะเวลานาน

2. อาการทางสายตา เช่น ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เกิดจากเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็กๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม

3. ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า ค้อมตัวลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเล่นนานๆ อาจมีอาการปวดศีรษะตามมา รวมไปถึงหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร  

4. โรคอ้วน แม้พฤติกรรมจะไม่ส่งผลโดยตรง แต่การนั่งทั้งวันโดยไม่ลุกเดินไปไหน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื่อรังอื่นๆ ได้

ด้านแพทย์หญิงทิพาวรรณ บูรณสิน จากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โนโมโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคำว่า ‘no mobile phone phobia’ เป็นศัพท์ที่หน่วยงายวิจัยทางการตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ใช้เรียกอาการที่เกิดจากความหวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพบมากที่สุดกว่าร้อยละ 70 ในกลุ่มเยาวชนอายุ 18-24 ปี  

รองลงมาคือกลุ่มคนวัยทำงานช่วงอายุ 25-34 ปี และกลุ่มวัยใกล้เกษียณ 55 ปีขึ้นไป ตามลำดับ ในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นกำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยโรคหลักทางจิตเวช (DSM-5) เนื่องจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค พยาธิสภาพทางจิตใจ และผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาวยังมีไม่มากพอ

อย่างไรก็ตาม แนวทางการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนด้วยตนเองมีหลายวิธี เช่น กำหนดช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละวัน, กำหนดสถานการณ์ที่จะไม่เล่นสมาร์ทโฟน เช่น ขณะเดิน กิน ก่อนนอน ตื่นนอนใหม่ๆ ขับรถ อยู่บนรถโดยสาร เรียน ทำงาน หรือแม้แต่อยู่ในห้องน้ำ ควรหากิจกรรม งานอดิเรก เล่นกีฬากิจกรรมผ่อนคลายในครอบครัวทดแทนเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด

avatar

Juthaluck Kae
(Juthaluck Kae)

แท็กบทความ

วันอ้วนโลก
WorldObesityDay
World Obesity Day 2025
โรคอ้วน
น้ำหนักเกิน
ติดมือถือ
ติดโทรศัพท์