

สรุปข่าว
สถานการณ์โรคเมลิออยโดสิสว่า ข้อมูลการเฝ้าระวังจากระบบการรายงานโรค Digital Disease Surveillance (DDS) กองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 14 สิงหาคม 2567 พบผู้ป่วยเมลิออยโดสิสทั้งหมด 2,117 ราย (3.24 ต่อประชากรแสนคน) เสียชีวิต 64 ราย (0.10 ต่อประชากรแสนคน)
อัตราป่วยตาย ร้อยละ 3.04 กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป (7.66 ต่อประชากรแสนคน) รองลงมาคือ อายุ 55-64 ปี (6.08 ต่อประชากรแสนคน) และอายุ 45-54 ปี (4.40 ต่อประชากรแสนคน)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม และอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย 5 จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด และนครพนม โดยกรมควบคุมโรค คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งจะทำให้กลุ่มเสี่ยงมีโอกาสสัมผัสเชื้อจากดินและน้ำมากขึ้น
โรคเมลิออยโดสิส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei เชื้อชนิดนี้มีความทนทาน ต่อสิ่งแวดล้อมมากและมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ ระหว่าง 15-42 องศาเซลเซียส พบได้ในดิน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติในทุกภาคของประเทศไทย
คนสามารถติดเชื้อผ่านทางเยื่อบุผิวหนังหรือบาดแผลจากการสัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานาน การดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด หรือการหายใจเอาละอองของเชื้อที่ปนเปื้อนในดินเข้าไป และอาจติดเชื้อจากสัตว์ได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือรับประทานเนื้อหรือนมจากสัตว์ที่เป็นโรค
นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า ผู้ป่วยจะแสดงอาการหลังจากติดเชื้อเฉลี่ยประมาณ 4-9 วัน เร็วสุด 1 วันหรือบางรายอาจนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน ส่วนใหญ่มักเริ่มจากมีไข้
อาการแสดงขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการติดเชื้อ เช่น หากติดเชื้อที่ผิวหนังจะมีอาการปวด บวม มีแผลเปื่อย สีขาวเทาหรือเป็นฝีหนอง หากติดเชื้อที่ปอดจะมีอาการปอดอักเสบ คือ มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย และอาจพบฝีหนองในปอด ในบางรายอาจพบที่อวัยวะอื่น เช่น ฝีในตับหรือม้าม ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมักมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
โดยจะมีไข้สูง หายใจลำบาก ความดันเลือดต่ำหรือมีภาวะช็อก และถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งหากประชาชนพบว่า ตนเองมีความเสี่ยงและมีอาการ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและตรวจเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการ เพื่อรับ การรักษาได้ทันท่วงที
จึงขอแนะนำการป้องกันสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโรคเมลิออยโดสิส ได้แก่ กลุ่มผู้มีอาชีพเกษตรกรรม ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่มีบาดแผล
1.หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นให้สวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกง ขายาวหรือชุดลุยน้ำ เมื่อเสร็จภารกิจให้รีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสะอาดและสบู่
2.หากมีบาดแผลบริเวณผิวหนัง ควรรีบทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อและหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินและน้ำจนกว่าแผลจะแห้งสนิท
3.รับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด หากไม่แน่ใจให้ต้มน้ำให้สุกก่อนดื่ม เมื่อมีอาการไข้สูง ร่วมกับมีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ที่มา : กองระบาดวิทยา/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
ที่มาข้อมูล : -