ราคากาแฟและโกโก้พุ่งสูงต่อเนื่อง กระทบอุตสาหกรรมและก่อปัญหาลักขโมย

ตั้งแต่ปีที่แล้ว ราคาของสินค้าเกษตรสำคัญอย่างกาแฟและโกโก้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ราคาโกโก้พุ่งขึ้นถึง 163% ขณะที่ราคากาแฟขยับขึ้น 103% สำหรับกาแฟเองมีการแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ อาราบิกา ซึ่งราคาขยับจาก 1.93 ดอลลาร์ต่อปอนด์ในเดือนธันวาคม 2557 มาอยู่ที่ 3.44 ดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วน โรบัสตา ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน จากเดิม 98 เซนต์ต่อปอนด์ในเดือนธันวาคม 2557 พุ่งแตะระดับ 2.37 ดอลลาร์ต่อปอนด์ในปีที่ผ่านมา

 

การเพิ่มขึ้นของราคากาแฟส่งผลให้เกิด “ปัญหาลักขโมย” ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าทั้งหมด และต้องใช้ระบบขนส่งขนาดใหญ่ในการลำเลียงเมล็ดกาแฟจากท่าเรือไปยังโรงคั่วต่างๆ


ประเด็นนี้ได้รับความสนใจในที่ประชุมประจำปีของสมาคมกาแฟแห่งสหรัฐฯ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองฮิวสตันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากบริษัทขนส่ง ฮาร์ตลีย์ ทรานส์ปอร์เตชัน ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ระบุว่า มีรายงานเหตุขโมยเมล็ดกาแฟเกิดขึ้นหลายสิบครั้งในปีที่แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อน โดยกลุ่มมิจฉาชีพมักปลอมตัวเป็นพนักงานของบริษัทขนส่ง และเสนอราคาขนส่งที่ต่ำกว่าปกติหรือให้บริการที่ดูเหมือนจะรวดเร็วกว่าคู่แข่ง

ราคากาแฟและโกโก้พุ่งสูงต่อเนื่อง กระทบอุตสาหกรรมและก่อปัญหาลักขโมย

สรุปข่าว

ราคากาแฟ-โกโก้พุ่งสูงในปี 2567 จากสภาพอากาศแปรปรวน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และต้นทุนขนส่ง ส่งผลให้เกิดการลักขโมยและกระทบเศรษฐกิจโลก

ไม่เพียงแต่ในสหรัฐฯ เท่านั้น ประเทศผู้ผลิตกาแฟหลักอย่าง บราซิลและเวียดนาม ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้เช่นกัน โดยเหตุการณ์ลักขโมยมักเกิดขึ้นในพื้นที่ไร่กาแฟที่ใช้เก็บเมล็ดหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจุดที่ห่างไกลและเข้าถึงยาก ทำให้มีความเสี่ยงสูง ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐ มินาเจไรส์ของบราซิล เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มโจรติดอาวุธได้ขโมยเมล็ดกาแฟไปกว่า 500 ถุง คิดเป็นมูลค่าราว 230,000 ดอลลาร์


งานวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษา อินเวอร์โต (Inverto) ชี้ให้เห็นว่า ราคาสินค้าอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสภาพอากาศที่ผันผวน และแนวโน้มในปีนี้ก็บ่งชี้ว่าความไม่แน่นอนของราคาสินค้าอาหารอาจยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศเลวร้ายที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นตามภาวะโลกร้อน

 

นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกำลังกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจส่งผลต่อการผลิตกาแฟในทศวรรษหน้า อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำให้ผลผลิตไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของเมล็ดกาแฟ และอาจทำให้ราคามีความผันผวนมากขึ้น

ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเพิ่มแรงกดดันต่อราคากาแฟและโกโก้ โดยเฉพาะจาก นโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศเรียกเก็บภาษี 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก แม้จะมีการผ่อนปรนให้บางรายการเป็นเวลา 1 เดือน แต่หากมาตรการภาษียังคงดำเนินต่อไป ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อเม็กซิโก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของตลาดสหรัฐฯ และอาจสร้างแรงกระเพื่อมไปยังห่วงโซ่การผลิตโดยรวม


นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่าง อิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางเดินเรือในทะเลแดง—หนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลที่สำคัญของโลก—ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคากาแฟพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะกาแฟจากเวียดนาม ซึ่งต้องเผชิญต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเส้นทางเลี่ยงภัยคุกคาม ส่งผลให้ราคาขายปลายทางสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ในภาพรวม ราคากาแฟและโกโก้ที่พุ่งสูงขึ้นไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ความท้าทายในแง่ของ ความมั่นคงด้านอาหาร การขนส่ง การเมือง และความปลอดภัย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้บริโภคทั่วโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

ที่มาข้อมูล : TNN EARTH

ที่มารูปภาพ : ENVATO