ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กแคนาดาเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ ตอบโต้แคนาดาขึ้นค่าไฟลูกค้าอเมริกัน

คำประกาศล่าสุดของผู้นำสหรัฐฯเมื่อวานนี้ (11 มีนาคม) ส่งสัญญาณยกระดับการทำสงครามการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านที่สร้างความกังวลไปทั่วและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งหนักในวันจันทร์ ทรัมป์ระบุว่า การปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้ในวันนี้ (12 มีนาคม) พร้อมกันั้น เขาจะประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติเกี่ยวกับไฟฟ้า” ในรัฐที่ได้รับผลกระทบ 


ทรัมป์เขียนข้อความเผยแพร่ทางทรูธโซเชียลของเขาว่า “เขาได้สั่งให้รัฐมนตรีพาณิชย์เพิ่มภาษีนำเข้าอีกร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 50 สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมที่เข้ามาสหรัฐอเมริกาจากแคนาดา ในอัตราภาษีนำเข้าที่สูงที่สุดสำหรับประเทศใด ๆ ก็ตามในโลก”


เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมทั้งหมดที่ใช้โดยผู้ผลิตรถยนต์, บริษัทการบินและอวกาศ รวมไปถึงการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน


การสั่งขึ้นภาษีเพิ่มสองเท่าของทรัมป์ครั้งนี้ ถือเป็นการตอบโต้การประกาศของมุขมนตรีมณฑลออนแทรีโอ ซึ่งเป็นเขตปกครองที่มีประชากรมากที่สุดของแคนาดาและเป็นผู้ส่งไฟฟ้าให้กับผู้บริโภคในรัฐมินนิโซตา, นิวยอร์กและมิชิแกนของสหรัฐฯ เพราะสงครามการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ

ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กแคนาดาเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ ตอบโต้แคนาดาขึ้นค่าไฟลูกค้าอเมริกัน

สรุปข่าว

สงครามการค้าระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ เดือด เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศจะสั่งเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาสองเท่า จากเดิมร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 50 เพื่อตอบโต้กรณีมณฑลออนแทรีโอของแคนาดาขึ้นราคาค่าไฟสำหรับลูกค้าชาวอเมริกันร้อยละ 25

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ดัก ฟอร์ด มุขมนตรีของมณฑลออนแทรีโอ กล่าวว่า เขากำลังระงับการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมชั่วคราว ซึ่งทางออนแทรีโอวางแผนจะเรียกเก็บจากการส่งออกไฟฟ้าไปยังบ้านเรือนชาวอเมริกัน 1.5 ล้านหลัง ขณะที่การเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ยังคงดำเนินต่อไป


นอกจากนั้น ทรัมป์ยังโพสต์ด้วยว่า “แคนาดาต้องเลิกกำแพงภาษีต่อต้านเกษตรกรอเมริกันอัตราร้อยละ 250-390 สำหรับสินค้านมเนยหลายรายการของสหรัฐฯ ในทันที เพราะภาษีเหล่านี้ ถือเป็นท่าทีที่อุกอาจ 


ผู้นำสหรัฐฯ ยังขู่ที่จะ “ปรับขึ้นอัตราภาษีอย่างมีนัยสำคัญ” สำหรับนำเข้าของรถยนต์ที่ส่งเข้ามาสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน “หากแคนาดาไม่ยกเลิกอัตราภาษีนำเข้าแสนชั่วร้ายที่บังคับใช้มานานสำหรับสินค้าอื่น ๆ ด้วย”

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Reuters