
“Something will happen with Iran very soon. We can't let them have a nuclear weapon. And hopefully, we can have a peace deal. You know, I'm not speaking out of strength or weakness. I'm just saying I'd rather see a peace deal than the other”
“บางสิ่งจะเกิดขึ้นกับอิหร่านเร็ว ๆ นี้ สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้พวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมีข้อตกลงสันติภาพในที่สุด คุณรู้ไหม ผมไม่ได้พูดถึงจุดแข็งหรือจุดอ่อน แต่ผมต้องการจะเห็นข้อตกลงสันติภาพมากกว่าสิ่งใด”
-ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์-
กล่าวส่งสัญญาณถึงข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านที่คาดว่าเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งคำประกาศของทรัมป์เกิดขึ้นเพียง 1 เดือนหลังจากฝ่ายบริหารของเขากำหนดสถานะต่ออิหร่านเป็น “การกดดันสูงสุด” โดยเมื่อวานนี้ (7 มีนาคม) ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ “ช่วงสุดท้าย” ในการเจรจากับอิหร่าน และเขาหวังว่าการแทรกแซงทางทหารจะพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จําเป็น
Fox News รายงานว่า เมื่อวานนี้ในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ยังเผยว่าเขาส่ง “จดหมาย” ไปถึง อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี ผู้นําสูงสุดของอิหร่าน เพื่อผลักดันให้อิหร่านยอมรับข้อตกลงนิวเคลียร์ หรือไม่ก็ต้องเผชิญกับผลกระทบทางทหาร

สรุปข่าว
เบห์นัม เบน ทาเลบลู ผู้อำนวยการ โครงการมูลนิธิเพื่อการป้องกันประชาธิปไตยอิหร่าน (Foundation for Defense of Democracys Iran Program) กล่าวว่าทรัมป์เหมือนได้วางตัวเลือกทั้งหมดไว้บนโต๊ะเจรจาตั้งแต่ตัวเลือกที่ดีที่สุดไปจนถึงตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุด เขาเตือนทรัมป์ว่าควรระมัดระวัง เพราะอิหร่านอาจกำลังวางกับดักกับทรัมป์ โดยล่อให้เข้าสู่การเจรจาทางการทูตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อลดแรงกดดันและลดความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับตัวเลือกทางทหารของสหรัฐฯ และ อิสราเอล เพื่อซื้อเวลาและในที่สุดอาจนำไปสู่อาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่าเขาเชื่อว่าอิหร่าน "เข้าใกล้" ที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างมากแล้ว แต่สหรัฐฯ จะหยุดความพยายามของอิหร่าน ทรัมป์ยังลงนามในคําสั่งผู้บริหารให้กระทรวงการคลังดําเนินนโยบายเพิ่ม "แรงกดดันทางเศรษฐกิจสูงสุด" ต่ออิหร่านผ่านมาตรการคว่ำาตรหลายชุดที่มุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ํามันของอิหร่านด้วย
ที่มาข้อมูล : FOX News / Reuters
ที่มารูปภาพ : Reuters