นักวิเคราะห์มองทรัมป์กำลังทดสอบยูเครนหลังสั่งระงับช่วยเหลือทางทหาร

สืบเนื่องจากฉากปะทะดันสุดดุเดือดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และ ประธานาธิบดีโวโลดิทีร์ เซเลนสกี ของยูเครนที่ห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาส่งผลให้ในที่สุดเมื่อวานนี้ (3 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งยุติการส่งความช่วยเหลือทางทหารเป็นการ “ชั่วคราว" แก่ยูเครน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความกังวลว่าผลการหยุดส่งความช่วยเหลือของสหรัฐฯ จะสร้างผลกระทบให้ยูเครนอีก “หลายปี” นับจากนี้


พันเอก เซดริก เลห์ตัน นักวิเคราะห์ทางทหารกล่าวว่า การระงับความช่วยเหลือแม้จะชั่วคราวแต่นั่นหมายถึง “ทุกสิ่งอย่าง” ตั้งแต่เครื่องบินไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามโดยเฉพาะในแนวหน้า การกระทำของทรัมป์ทำให้เลห์ตันมั่นใจว่ามันจะสร้างความซับซ้อนและส่งผลกระทบอย่างมากต่อขีดความสามารถของยูเครนในการทําสงครามกับรัสเซีย 


เลห์ตันกล่าวต่อว่า ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ไปยังยูเครนเกือบ 66 พันล้านดอลลาร์นี้ แท้จริงแล้วเป็นความช่วยเหลือที่สืบเนื่องมาจากฝ่ายบริหารในสมัยของประธานาธิบโจ ไบเดนที่ได้อนุมัติไปแล้ว คำสั่งของทรัมป์จึงไม่ต่างจากการหยุดความช่วยเหลือที่ได้รับการอนุมัตจากไบเดน และเพราะเหตุนี้จึงทำให้มีอดีตเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของไบเดนออกมาแสดงความคิดเห็นและวิพากย์วิจารณ์ทรัมป์เกี่ยวกับประเด็นที่เกิดขึ้นด้วย 


ขณะที่ แมกกี ฮาร์เบอร์แมน ผู้สื่อข่าวและนักวิเคราะห์จาก The New York Times ประจำทำเนียบขาวกล่าวว่าการตัดสินใจของทรัมป์เป็นเหมือนการ “ทดสอบว่ายูเครนจะไปได้ไกลแค่ไหน" หลังการระงับความช่วยเหลือชั่วคราว ฮาร์เบอร์แมนเล่าว่าในวันที่มีการปะทะกันที่ห้องทำงานรูปไข่มันมีมวลของความโกรธที่ค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ ทรัมป์ไม่ได้มองยูเครนในมุมของพันธมิตรแต่เขามองผ่านเลนส์ทางเศรษฐกิจ ดังนั้นนี่จึงอาจเป็นบททดสอบจากทรัมป์ที่ส่งไปถึงยูเครน

นักวิเคราะห์มองทรัมป์กำลังทดสอบยูเครนหลังสั่งระงับช่วยเหลือทางทหาร

สรุปข่าว

นักวิเคราะห์มองคำสั่งระงับการช่วยเหลือทางทหารกับยูเครนของทรัมป์จะกระทบความสามารถของยูเครนไป “อีกหลายปี” ขณะเดียวกันก็นักวิเคราะห์บางคนกลับมองว่านี่อาจเป็น “บททดสอบ” ของทรัมป์ว่ายูเครนจะยืนได้ด้วยตัวเองไกลแค่ไหนในวันที่ไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ

ด้าน ไมเคิล คาร์เพนเตอร์ อดีตผู้อํานวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมากล่าวกับสำนักข่าว BBC ว่าเขารู้สึกทึ่งในการตัดสินใจของทรัมป์ ในสงครามนี้เห็นได้ชัดว่าใครเป็นผู้รุกรานและใครที่ตกอยู่ในสภาพเหยื่อ รัสเซียคือผู้รุกรานและยูเครนคือเหยื่อแต่ตอนนี้ทรัมปืทรัมป์กำลังทำให้สถานะของ 2 ประเทศสลับกัน 


คาร์เพนเตอร์กล่าวอีกว่า การหยุดความช่วยเหลือชั่วคราวซึ่งเป็นความช่วยเหลือพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนในยูเครนปกป้องบ้านเกิดของตนจากการโจมตีที่โหดร้ายอย่าง โจ่งแจ้งและหยาบคายจากรัสเซีย จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่สหรัฐอเมริกาตัดสินใจทําเช่นนี้ 


ขณะเดียวกัน แทมมี ดักเวิร์ธ สมาชิกวุฒิสภาออกมาแสดงความคิดเห็นว่าการตัดสินใจของทรัมป์ว่าเป็น “การละทิ้งยูเครนอย่างน่าอับอาย” เธอกล่าวด้วยว่าการตัดสินใจนี้ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ ปลอดภัยขึ้นแต่จะทําให้ปูตินและศัตรูของสหรัฐฯ แข็งกล้าขึ้น ในขณะที่ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับชาติพันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยอ่อนแอลงด้วย ด้านปีเตอร์ เวลซ์ สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเวอร์มอนต์แสดงความคิดเห็นว่าปูตินคืออาชญากรสงคราม เซเลนสกีคือฮีโร ส่วนทรัมป์คือ “จุดอ่อน”

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว BBC รายงานว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ทำแบบนี้เพื่อกดดันประธานาธิบดีเซเลนสกี ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วในปี 2020 ทรัมป์จัดประชุมวาระพิเศษร่วมกับสภาคองเกรสหารือประเด็นระงับส่งความช่วยเหลือไปยูเครนในสมัยที่ยูเครนต่อสู้กับรัสเซียและกลุ่มกบฏที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียตั้งแต่ปี 2014 โดยการจัดประชุมของทรัมป์ในตอนนั้นสร้างความไม่พอใจและนำไปสู่การฟ้องร้องครั้งแรกของเขา ซึ่งทรัมป์ถูกกล่าวหาว่า “ใช้อํานาจในทางที่ผิด” แต่ท้ายที่สุดทรัมป์พ้นผิดมาได้จากความช่วยเหลือโดยวุฒิสภา

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Getty Images