
ในวันนี้ (1 กุมภาพันธ์) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางถึงอิสราเอลเพื่อเยี่ยมตัวประกันชาวไทยจำนวน 5 คนที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากฉนวนกาซาหลังถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไปนานหลายเดือน และในขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทลอาวีฟของอิสราเอล ก่อนกำหนดการเดินทางกลับประเทศไทย
โดยในการนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมวิดีโอคอลเพื่อพูดคุยกับ 5 แรงงานไทยและแสดงความยินดีที่กำลังจะได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า
รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เร่งกำชับและประสานงานกับฝ่ายอิสราเอลในทุกระดับและโอกาส เพื่อให้การช่วยเหลือทุกท่าน รวมถึงคนไทยที่ยังคงถูกควบคุมตัวโดยเร็ว และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง จนได้รับข่าวดีว่าจะมีการปล่อยตัวท่าน และทุกท่านปลอดภัย มีสภาพจิตใจที่ดีดิฉันได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตฯ ประสานงานกับฝ่ายอิสราเอลในการดูแลความปลอดภัย โดยเฉพาะด้านสุขภาพและจิตใจของทุกท่านเป็นอย่างดี พร้อมได้มอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทย ช่วยประสานงานและอำนวยความสะดวกให้กับทุกท่านระหว่างรอเดินทางกลับประเทศไทยรัฐบาลได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ติดตามเรื่องเงินพึงได้ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ท่านจะได้รับ ทั้งจากฝ่ายอิสราเอลและของไทย ดังนี้
1.เงินชดเชยจากสถาบันประกันภัยแห่งชาติอิสราเอล
-จำนวน 1,000 เชคเกล/เดือน (ประมาณ 10,000 บาท/เดือน) จนถึงอายุ 67 ปี
-จำนวน 12,000 เชคเกล/ปี (ประมาณ 120,000 บาท/ปี) (จ่ายหนึ่งครั้ง/ปี ระหว่างอายุ 67-80 ปี)
-จำนวน 15,000 เชคเกล/ปี (ประมาณ 150,000 บาท/ปี) (จ่ายหนึ่งครึ่ง/ปี เมื่ออายุ 80 ปีขึ้นไป)
2) รายได้จากการทำงานที่คงค้างจากนายจ้างอิสราเอล
3) เงินสงเคราะห์กรณีเดินทางกลับประเทศจากภัยสงคราม จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 15,000 บาท
4) เงินบำเหน็จชราภาพจากสิทธิประโยชน์ประกันสังคมรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ในการเร่งติดตามความช่วยเหลือตัวประกันคนไทยที่เหลืออีก 1 คน ให้ได้รับการปล่อยตัว รวมทั้งนำร่างของแรงงานไทยที่เสียชีวิตอีก 2 ราย กลับประเทศไทยโดยเร็ว
รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ในการเร่งติดตามความช่วยเหลือตัวประกันคนไทยที่เหลืออีก 1 คน ให้ได้รับการปล่อยตัว รวมทั้งนำร่างของแรงงานไทยที่เสียชีวิตอีก 2 ราย กลับประเทศไทยโดยเร็ว

สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : กระทรวงการต่างประเทศ
ที่มารูปภาพ : กระทรวงการต่างประเทศ