Editor's Pick: นโยบายของ "ทรัมป์" ที่อาจส่งผลกระทบต่อ "คนไทย"

🔴 สิทธิการเป็นพลเมืองจากการเกิดบนแผ่นดินสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ ใครที่เกิดในสหรัฐฯ ก็จะได้สัญชาติอเมริกันอัตโนมัติ แต่ล่าสุด ทรัมป์ลงนามยกเลิกสิทธิการได้สัญชาติอเมริกันของเด็กที่เกิดในสหรัฐฯ ซึ่งถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมากนานกว่า 150 ปี เนื่องจากไม่ต้องการให้สัญชาติแก่เด็กที่พ่อและแม่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย 


ภายใต้คำสั่งของทรัมป์ ส่งผลให้เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ถือวีซ่าทำงาน, วีซ่านักเรียน, วีซ่าท่องเที่ยว หรือเมื่อไม่มีพ่อแม่ที่ถือสัญชาติอเมริกัน หรือเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (กรีนการ์ด) จะไม่ได้สัญชาติอเมริกันอย่างที่เคยเป็น ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะมีผลทางกฎหมายในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ นั่นหมายความว่า เด็กที่เกิดหลังวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 จะไม่ได้สัญชาติสหรัฐฯ ตามเดิม นอกจากนี้คำสั่งดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่ได้หนังสือเดินทาง, เลขประกันสังคม และใบรับรองการได้สัญชาติอีกด้วย


การกระทำของทรัมป์อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มผู้อพยพออกมาประท้วงต่อต้านเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้อัยการจากรัฐที่นำโดยพรรคเดโมแครต 22 รัฐ, วอชิงตัน ดี.ซี. และซานฟรานซิสโก ได้ยื่นฟ้องศาลรัฐบาลกลางขัดขวางนโยบายดังกล่าว โดยพวกเขาได้ระบุว่า ในแต่ละปีมีเด็กราว 150,000 คนที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ และพวกเขาจะถูกส่งตัวออกไป และกลายเป็นคนไร้รัฐ

Editor's Pick: นโยบายของ "ทรัมป์" ที่อาจส่งผลกระทบต่อ "คนไทย"

สรุปข่าว

นโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย - สิทธิการเป็นพลเมืองจากการเกิดบนแผ่นดินสหรัฐฯ - วีซ่าทำงาน-นักเรียน-ครอบครัวอาจขอได้ยากขึ้น - ขึ้นภาษีต่างชาติ-ดึงบริษัทอเมริกันกลับบ้าน

🔴 วีซ่าทำงาน-นักเรียน-ครอบครัวอาจขอได้ยากขึ้น

เริ่มต้นจากวีซ่า H-1B วีซ่าสำหรับอาชีพเฉพาะทาง อาจขอได้ยากขึ้น เพราะทรัมป์มีแผนกำหนดนิยามของอาชีพเฉพาะทางให้เข้มงวดมากกว่าเดิม อาจทำให้ตำแหน่งงานที่ไม่มีข้อกำหนดด้านระดับการศึกษาเฉพาะเจาะจงผ่านเกณฑ์การเป็นอาชีพเฉพาะทางยากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ในอนาคต แม้ทรัมป์จะมองว่า การดึงชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงมาทำงานในสหรัฐฯ เป็นเรื่องดี แต่เขาก็มองว่า อาจส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันที่กำลังหางานเอง


นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้เพิ่มเกณฑ์เงินเดือนขั้นต่ำเป็นสองเท่า จาก 60,000 ดอลลาร์เป็น 120,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งอาจทำให้ผู้ถือวีซ่าทำงานระดับกลางไม่สามารถทำงานได้ ผู้ถือวีซ่า H-1B ในซิลิคอนวัลเลย์ยอมรับว่า เกิดความไม่แน่นอนอย่างมาก และไม่แน่ใจว่าอาชีพการงานและครอบครัวของเขาจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด


โดย H1-B เป็นวีซ่าสำหรับผู้ชำนาญงานพิเศษในแขนงต่าง ๆ เช่น วิศวกร พยาบาล ศาสตราจารย์ นักวิจัย หรือ งานสายคอมพิวเตอร์ พวกเขาสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ เพื่อทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในแต่ละปีจะมีการกำหนดโควตาสำหรับวีซ่าประเภท H1-B


นอกจากนี้ยังมีวีซ่านักเรียน นักศึกษา และการขอกรีนการ์ดที่อาจเผชิญข้อกำหนดมากขึ้น นักเรียนที่มาด้วยวีซ่า F-1 สำหรับนักเรียนต่างชาติ และทำงานได้ชั่วคราว 12 เดือนหลังเรียนจบ อาจเป็นไปได้ยากขึ้น รวมถึงการยกเลิกการทำงานได้ชั่วคราว 24 เดือน หลังเรียนจบสำหรับผู้จบการศึกษาสาย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์)


สำหรับครอบครัวของผู้ถือวีซ่าก็เผชิญกับความไม่แน่นอน เพราะสิทธิพิเศษในการทำงานสำหรับผู้ถือวีซ่า H-4 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่สมรสของผู้ถือวีซ่า H-1B อาจถูกยกเลิก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่เคยมีรายได้สองทาง

🔴 ขึ้นภาษีต่างชาติ-ดึงบริษัทอเมริกันกลับบ้าน

โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะเพิ่มอัตราภาษีเป็นสองเท่าสำหรับชาวต่างชาติและบริษัทต่างชาติต่าง ๆ ในสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การจัดเก็บภาษีแบบเลือกปฏิบัติต่อบริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ และขอให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ตรวจสอบว่า มีประเทศใดบ้างเรียกเก็บภาษีแบบเลือกปฏิบัติ หรือภาษีนอกอาณาเขตกับพลเมืองหรือบริษัทของสหรัฐฯ หรือไม่ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 891


นอกจากนี้มีรายงานว่าทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตอบโต้ที่จีนส่งสารเฟนทานิลเข้าสหรัฐฯ ผ่านทางเม็กซิโก และแคนาดา ส่วนประเทศทางผ่าน อย่างเม็กซิโก และแคนาดา ทรัมป์ก็เล็งเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มเป็น 25%


สำหรับการขึ้นภาษีบริษัทต่างชาตินั้น อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทไทยที่ไปลงทุนในสหรัฐฯ ส่วนการขึ้นภาษีน้ำเข้าสินค้าจากจีน อาจทำให้สินค้าจีนหลั่งไหลมาขายแถบเอเชียแปซิฟิกแทน เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ หรืออาจใช้เอเชียแปซิฟิกเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ แทน 


นอกจากนี้ทรัมป์ยังมีแนวคิดที่จะดึงดูดให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศที่เป็นฐานการผลิตให้บริษัทสัญชาติอเมริกัน เราอาจจะได้เห็นโรงงานของบริษัทอเมริกันในต่างประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ปิดตัวเพิ่มในปีนี้ อย่างไรก็ตามอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน ต้องติดตามข้อกำหนดเพิ่มเติมจากทางสหรัฐฯ และการบริหารของทรัมป์ต่อไป