สรุปข่าว
BIMSTEC คือ ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล สำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ประกอบด้วยประเทศ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ครอบคลุมประชากรมากกว่า 1,700 ล้านคน ซึ่งในความร่วมมือนี้มีโอกาสสำหรับการลงทุนที่หลากหลาย ไปดูกันค่ะว่านักธุรกิจไทยที่ไปทำธุรกิจในประเทศสมาชิกบิมสเทค มองว่าความท้าของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร
คุณอารยา ลิขิตธนวงศ์ นักลงทุนจาก L.V.W. Group บอกว่า “ความท้าทายในการไปลงทุนที่บังกลาเทศ อย่างแรกต้องคำนึงถึงสถานการณ์การเมืองก่อนว่าบังกลาเทศตอนนั้นรัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลในเรื่องนี้ โดย 80% ของรายได้จากการส่งออก มาจากอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม โดยส่วนใหญ่ไปทางสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเป็นหลัก เพราะฉะนั้นถ้าผู้ซื้อจากต่างประเทศไม่มีความมั่นใจ คำสั่งซื้อมันก็จะไม่เข้ามา แม้ตอนนี้บังกลาเทศเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม แต่เชื่อว่าจะขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ได้ในอนาคต”
คุณวรพจน์ ศรีมหาโชตะ เจ้าของ Haven Resort ภูฏาน บอกว่า ความท้าทายในการลงทุนที่ภูฏาน คือ ต้องศึกษาเรื่องอัตราภาษีให้ดี ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่หนาวจัด นับเป็นอุปสรรคหนึ่งของการก่อสร้าง
“ความท้าทาย คือ ภูฏานเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีคนไทยไปลงทุน เราเห็นโอกาสในการทำโรงแรม ซึ่งเป็นประเทศที่สวยงาม อากาศดี เราเลยคิดว่ามันท้าทายเรา นักลงทุนต้องศึกษาเรื่องภาษีและเงื่อนไขในการลงทุนที่ภูฏานให้ดี เพราะเป็นประเทศที่ประชากรน้อย จึงต้องคิดให้รอบคอบ”
ขณะที่อินเดีย ที่มีประชากรกว่า 1,000 ล้านคนที่มีโอกาสมหาศาลรออยู่ ซึ่งบริษัท SCG ที่เข้าไปลงทุนแล้ว แนะว่าภาคธุรกิจจะเติบโตขึ้นอีก เนื่องจากการขยายเขตเมือง
คุณอบิจิต ดัตต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอกว่า “วันนี้อินเดียเป็นประเทศที่กำลังจะมีการเติบโตสูงมาก ในอดีต 7% คาดว่าโตอย่างต่อเนื่อง มี 2 เรื่องที่คิดว่าสำคัญมาก คือ ชนชั้นกลางกำลังจะเติบโตขึ้น รายได้จะเพิ่มมากขึ้น และเทรนด์ของการขยายเขตเมือง ซึ่งมีประชาชนที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวเมืองค่อนข้างเยอะ หนึ่งปีประมาณ 15 ล้านคน จึงทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง และความต้องการในด้านต่าง ๆ”
ส่วนเพื่อนบ้านเราอย่างเมียนมา แม้จะมีสถานการณ์การสู้รบ แต่นักธุรกิจไทย อย่างคุณวิชัย เข็มทองคำ มองว่า โอกาสยังมี โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับปากท้อง เพราะคนจำเป็นต้องกิน ต้องใช้
“เมียนมายังเป็นประเทศที่น่าสนใจของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากเรามีพื้นที่ติดกัน ไทยมีองค์ความรู้และความสามารถนำไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในเมียนมา ในเมียนมาเรามีสำนักงานทูตพาณิชย์ และประเทศไทยก็มีสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ประกอบการที่สนใจ”
ด้านเนปาล ที่แม้จะเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และเป็นพื้นที่เขา แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีโอกาสเสียทีเดียว ยังน่าลงทุนหลายด้าน เพราะตอนนี้การเมืองกำลังนิ่ง
คุณสถิตย์ กุมาร กรรมการหอการค้าไทย-เนปาล บอกว่า “ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีมาก เพราะรัฐบาลค่อนข้างคงที่ มันขึ้นอยู่กับว่าเราลงทุนในด้านไหน เนปาลมี Board of Investment อยู่แล้ว หากติดต่อไม่ได้ ให้ติดต่อหอการค้าไทย-เนปาล ในประเทศไทยก็ได้ พร้อมประสานงานกับสถานทูต เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน”
ส่วนที่ศรีลังกา หลังจากผ่านพ้นวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้น ตอนนี้ก็พร้อมต้อนรับนักลงทุนต่างชาติในทุกมิติ
ดร.ศรายุทธ เล็กผลิผล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านส่งเสริมการลงทุน (เอเชียแปซิฟิก) เขตเศรษฐกิจพิเศษ พอร์ตซิตี้โคลัมโบ-ศรีลังกา บอกว่า “ตอนนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของศรีลังกากลับมาเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง มีโครงการขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ชื่อว่า Port City Columbo ซึ่งเปิดรับนักลงทุนจากต่างประเทศให้เขาไปลงทุนโดยตรงได้ ทั้งเรื่องอสังหาริมทรัพย์ การเปิดออฟฟิศ เพื่อเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียใต้ โดยให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฟรี 25 ปี 0% และให้ 50% อีก 10 ปี รวมเป็น 35 ปี”
แต่ละประเทศก็เผชิญความท้าทายในการลงทุนแตกต่างกันออกไป ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศบิมสเทคในปีนี้ ต้องติดตามกันว่าจะมีความก้าวหน้าใด ๆ เกิดขึ้นบ้าง
ที่มาข้อมูล : -