
ต้นปีนี้การเปิดตัวของ DeepSeek ได้ปลุกกระแสความสนใจในหุ้น บิ๊กเทคจีน อีกครั้ง พร้อมกับสัญญาณเชิงบวกจากรัฐบาลจีนที่แสดงท่าทีสนับสนุนภาคเทคโนโลยี นำโดย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ได้เชิญผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำของประเทศเข้าร่วมประชุมพิเศษ ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อนโยบายภาครัฐ และส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมาน่าสนใจยิ่งขึ้น
ทำให้เกิดนิยามใหม่ในหมู่นักลงทุน อย่างหุ้นกลุ่ม Terrific 10 ขึ้นมาที่กูรูนักลงทุนหลายท่านให้นิยามว่า หุ้นทศเทพบ้าง หุ้น 10 เซียนบ้าง ขึ้นมาเทียบชั้นกับหุ้น 7 นางฟ้าหรือ Magnificent 7 ของสหรัฐฯ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่เคยได้ยินกันมาในช่วง 2 ปีก่อนหน้าที่ กระแส AI สหรัฐฯ ได้บูมหุ้นกลุ่มนี้ให้ดังเปรี้ยงปร้างมาแล้ว
ก่อนจะพูดกันถึงความน่าสนใจ มาดูกันก่อนว่า Terrific 10 ประกอบไปด้วย
Tencent เจ้าของ WeChat และเกมออนไลน์ยอดนิยม (RoV)
Alibaba ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม e-Commerce และมีบริการ Cloud Service รวมถึงมีการพัฒนา AI ของตัวเอง
Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและ IoT ชั้นนำ
Meituan แพลตฟอร์ม Food Delivery และ Lifestyle ครบวงจร
NetEase ผู้พัฒนาเกมออนไลน์ชั้นนำ พร้อมบริการคลาวด์ Service
JD.com แพลตฟอร์ม e-Commerce ระดับแถวหน้า
Baidu ผู้นำ Search Engine และ AI ครบวงจร รวมถึงระบบรถยนต์ไร้คนขับ
BYD แบรนด์ EV ชั้นนำของโลก พร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล้ำสมัย
Geely (จี๋ลี้) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำที่มีการเติบโต จากการเข้าซื้อกิจการรถยนต์ในต่างประเทศ เช่น Volvo และ Proton-Lotus
SMIC ผู้นำการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ของจีน

สรุปข่าว
เห็นรายชื่อแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ ผมว่า ต่อให้ไม่ใช่สายเทคโนโลยี ก็ต้องคุ้นหูอยู่หลายชื่อแน่นอนครับ แต่ถ้าหากคุณอยากรู้ว่า หุ้นกลุ่ม Terrific 10 จะขึ้นมาเทียบชั้น Magnificent 7 ได้จริงหรือไม่
ผมมีคำตอบให้คุณครับ
หากมองศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของหุ้นกลุ่มนี้ ผมพบว่ามาจาก 3 ปัจจัยหลักด้วยกัน
ข้อแรกเลยคือแรงสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
นอกเหนือจากสัญญาณเชิงบวกจากการประชุมพิเศษแล้ว รัฐบาลจีนยังมี ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ให้ความสำคัญกับ AI, Semiconductor, EVs และพลังงานสะอาด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของหุ้นในกลุ่ม Terrific 10 อย่างแน่นอน
2. ศักยภาพของตลาดภายในประเทศ
ประเทศจีนมีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน เรียกว่ามหาศาล มากพอที่จะช่วยให้นักพัฒนาเทคโนโลยีจีนสามารถทดสอบ และขยายผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากนัก
3. Valuation ที่น่าสนใจมากกว่า (ถูกกว่า)
เรื่องของถูก พูดแล้วอาจจะคิดถึงสินค้าจีน จะพูดอย่างนั้นกับหุ้นในกลุ่ม Terrific 10 เวลานี้ก็ใช้ได้นะครับ เพราะเมื่อเทียบกับหุ้น Magnificent 7 ของสหรัฐฯ แล้ว หุ้นในกลุ่ม Terrific 10 ยังมี Valuation ที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ผมได้ลองทำการเปรียบเทียบ P/E Ratio โดยเฉลี่ยแล้วจะพบว่า หุ้น Terrific 10 มีค่าเฉลี่ย P/E Ratio อยู่ที่ 18.03 (สูงสุด 34.8 ต่ำสุด 6.63)
Tencent 22, Alibaba 16.3, Geely 15.2, Xiaomi 20.2, BYD 18.8, Meituan 34.8, SMIC 23, NetEase 14, JD.com 6.63, Baidu 9.40
ขณะที่ค่าเฉลี่ยนของหุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 อยู่ที่ 34.4 (สูงสุด 45.2 ต่ำสุด 23.3)
Apple 37.5, Nvidia 45.2, Microsoft 37.7, Amazon 38.8, Alphabet 23.3, Meta 23.9, Tesla 181.1
ที่สำคัญคือหากมองในแง่ของมูลค่าตลาดรวม ของ Terrific 10 ทั้งหมดรวมกันแล้ว ก็ยังเล็กกว่าหุ้น Apple เพียงบริษัทเดียว ซึ่งสะท้อนถึงการมี Upside Gain จากการเติบโตที่น่าสนใจในอนาคต จริงไหมครับ
หากจัดกลุ่ม หุ้น Terrific 10 ออกเป็น 3 กลุ่มเมกะเทรนด์ เราจะพบว่าทั้ง กลุ่มนี้ล้วนอยู่ในเทรนด์เทคโนโลยีหลักที่ล้วนเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทำให้ Terrific 10 เป็นกลุ่มหุ้นที่น่าจับตามองในระยะยาว ทั้ง 3 เมกะเทรนด์นี้ ด้านแรก คือเมกะเทรนด์ AI & Big Data Technology ประกอบไปด้วย 7 บริษัท Tencent Alibaba, Xiaomi, Meituan, NetEase, JD.com และBaidu
ถัดมาคือ เมกะเทรนด์ EV & Battery Technology ประกอบด้วย BYD และGeely (จี๋ลี้) เมกะเทรนด์สุดท้ายคือ Semiconductor Technology ได้แก่หุ้น SMIC
เห็นความโดดเด่นของหุ้นกลุ่ม Terrific 10 แล้วใช่ไหมครับ แต่สำหรับผม ผมก็ไม่ได้มองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเข้ามาแทนที่ Magnificent 7 ของสหรัฐฯ แต่อย่างใด เพราะทั้งสองกลุ่มต่างมีความโดดเด่นในแบบของตัวเอง ดังนั้นการมีหุ้นทั้ง 2 กลุ่มนี้อยู่ในพอร์ตเป็นแนวทางที่น่าสนใจมากในระยะยาวนะครับ
สะกิดต่อมหุ้นจีนฟื้น โลกหันจับจ้อง
หุ้นกลุ่ม Terrific 10 มีสัดส่วนที่สำคัญในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยในดัชนี HSI (Hang Seng Index) คิดเป็นประมาณ 30% ของดัชนี และในดัชนี HSI Tech คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 80% ดังนั้น การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้จึงส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นฮ่องกง
ในช่วงนี้ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นฮ่องกงถูกนำโดย หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนจาก ผลตอบแทน YTD ของดัชนี HSI ที่ประมาณ +15% และ HSI Tech ที่มากกว่า +20% ขณะที่ หุ้นจีนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะ A-Share (CSI 300) ยังคงเผชิญความท้าทาย โดยมีผลตอบแทน YTD ประมาณ -3%
ผมมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นจีนโดยรวมยังคงขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก หากสามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง หุ้นกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะหุ้น A-Share ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นตาม เนื่องจาก Valuation ของหุ้นจีนยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจครับ
Terrific 10 อาจจะช่วยปลุกตลาดหุ้นจีน แต่หุ้นกลุ่มไหนที่น่าจะได้รับอานิสงส์ตามมา หรือหุ้นกลุ่มที่น่าลงทุนในระยะต่อไปยังมีอยู่แน่นอนครับ ในเบื้องต้นผมมองว่าหุ้นกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์โดยตรง แน่นอนว่าต้องเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยจะขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักดังนี้นะครับ
หุ้นกลุ่ม Supply Chain เทคโนโลยีขั้นสูง
เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีพื้นฐานที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อน AI ซึ่งรวมถึง:
- ผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ เช่น SMIC, Hua Hong Semiconductor และผู้พัฒนาชิปเฉพาะด้าน AI อย่าง Huawei (Ascend AI) และ Cambricon Technologies ซึ่งเป็นผู้นำด้านชิป AI ในจีน
- ผู้ผลิตส่วนประกอบ IoTs และอุปกรณ์เชื่อมต่อ เช่น บริษัทที่พัฒนาเซ็นเซอร์อัจฉริยะ, โมดูล 5G และโครงสร้างพื้นฐานด้าน Cloud Computing ที่จำเป็นสำหรับการประมวลผล AI
- ผู้พัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและระบบอัตโนมัติ เช่น Estun Automation และ Siasun Robot ซึ่งเป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์อุตสาหกรรมในจีนที่ใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต
หุ้นผู้พัฒนา AI และแพลตฟอร์ม AI
เป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นแกนกลางของอุตสาหกรรม AI ซึ่งพัฒนาโมเดลพื้นฐาน (Foundation Models) และโซลูชัน AI ที่จะถูกนำไปใช้งานในหลากหลายภาคธุรกิจ เช่น:
- Deepseek ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทจีนที่พัฒนา AI Language Model ที่มีความสามารถทัดเทียมกับ GPT ของ OpenAI
- Alibaba Cloud (Aliyun) ซึ่งมีโซลูชัน AI-as-a-Service และเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ AI ในการดำเนินงาน
- Baidu (Ernie AI) ที่พัฒนา AI Model สำหรับการค้นหาข้อมูลและระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกนำไปใช้งานจริง เช่น ในอุตสาหกรรมโฆษณาและระบบช่วยเหลืออัจฉริยะ
หุ้นผู้ประยุกต์ใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ
เป็นกลุ่มบริษัทที่นำ AI ไปใช้ในธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น:
- อุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles) ที่ใช้ AI ในการพัฒนาระบบขับขี่ เช่น Xpeng และ NIO ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะ (XPILOT, NIO Pilot)
- อุตสาหกรรมสุขภาพ (AI in Healthcare) เช่น Ping An Good Doctor และ iFlytek ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและพัฒนา Telemedicine
- อุตสาหกรรมค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ เช่น JD.com และ Meituan ที่ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์
สำหรับกลุ่มหุ้นจีนที่น่าสนใจลงทุนในระยะต่อไป คือกลุ่มที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญในอุตสาหกรรมเหล่านี้ โดยมีนโยบายสนับสนุนอย่างชัดเจนภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ
อย่างแรกคือกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy)
ประเทศจีนเป็นผู้นำระดับโลกด้านพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar), พลังงานลม (Wind), รถยนต์ไฟฟ้า (EV), และแบตเตอรี่ (Battery Storage) โดยรัฐบาลมีเป้าหมายให้จีนเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2060 และกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้
และในปัจจุบันจีนก็เป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์และกังหันลมรายใหญ่ที่สุดในโลก
บริษัทจีนอย่าง LONGi Green Energy และ Contemporary Amperex Technology (CATL) เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
โดยจีนครองถึง 70-80% ของ Supply Chain โลก ในการผลิตแผงโซลาร์เซลล์
นอกจากนั้นจีนยังมีตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
BYD เป็นคู่แข่งสำคัญของ Tesla และกำลังขยายตลาดไปยุโรป
NIO, XPeng และ Li Auto เป็นผู้เล่นหลักใน EV ที่เน้นเทคโนโลยีล้ำหน้า
โดยรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอย่างเต็มที่ มี Subsidy (เงินอุดหนุน) สำหรับผู้ผลิตและผู้ใช้รถ EV และยังมีการเร่งพัฒนา Smart Grid และ Battery Storage เพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียน
กลุ่ม Healthcare
จีนให้ความสำคัญกับ อุตสาหกรรมการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech & Pharmaceuticals) โดยมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ "Healthy China 2030" ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้โดยตรง
เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย (Aging Population) ซึ่งเป็นการเร่งความต้องการในด้าน Healthcare
โดยจีนมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 280 ล้านคน ทำให้ความต้องการบริการสุขภาพ เติบโตต่อเนื่อง ตลาด ยาและอุปกรณ์การแพทย์ มีแนวโน้มขยายตัวมหาศาล
นอกจากนั้นบริษัทจีนก็กำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Biotech, Pharma
WuXi AppTec และ BeiGene โดยมีบริษัทจีนที่เป็นผู้เล่นสำคัญใน ยาและชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals)
Mindray และเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุปกรณ์การแพทย์ของจีน
และรัฐบาลจีนก็มีแผนเร่งพัฒนานวัตกรรมการแพทย์
โดยเฉพาะการลงทุนใน AI for Healthcare, Telemedicine และ Precision Medicine
โดยตั้งเป้าให้จีน พึ่งพายา และวัคซีนที่พัฒนาเองมากขึ้น
ทั้งพลังงานสะอาด และ Healthcare เป็นสองอุตสาหกรรมที่จีนมี แผนยุทธศาสตร์ชาติสนับสนุน และมี โอกาสเติบโตสูงในระยะยาว ทำให้เป็นกลุ่มหุ้นที่น่าจับตามองในระยะต่อไปครับ
และล่าสุด การประชุมสองสภาส่งสัญญาณว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นที่การบริโภคภายในประเทศ แม้จะยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน แต่พวกเราคงต้องติดตามรายละเอียดของมาตรการอย่างใกล้ชิด หากมาตรการที่ออกมามีความเข้มข้นและต่อเนื่องมากพอ ก็จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ภาคอุปโภคบริโภคสามารถฟื้นตัวและปรับตัวขึ้นได้ครับ เป็นอีกกลุ่มที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ
สำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาว ผมมองว่าหุ้นกลุ่ม Terrific 10 ยังคงมี Upside Potential ที่น่าสนใจ แม้ว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่หากพิจารณาในแง่ของ Valuation จะเห็นว่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มยังอยู่ที่เพียง 18 เท่า ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของธุรกิจ
ดังนั้นนักลงทุนสามารถจัดสรรพอร์ตให้หุ้นกลุ่มนี้อยู่ใน Satellite Port เพื่อรับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนโดยที่ไม่เสี่ยงเกินไป กำหนดสัดส่วนไว้ไม่เกิน 15% ก็น่าจะเหมาะสมครับ และหากจะให้ดี การใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ค่อย ๆ ทยอยสะสม ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาไปได้ด้วยครับ
นอกจากนี้ หากมีการปรับฐานแรงในระยะสั้น ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยที่เหมาะสมและสร้างโอกาสในการเติบโตระยะยาวครับ
หุ้นจีนซบเซามานานครับ ตอนนี้โฟกัสทั้งโลกกำลังกลับมาอยู่ที่หุ้นจีน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง จัดสัดส่วนให้เหมาะสม เพื่อให้พอร์ตเติบโตอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างยั่งยืนครับ
ที่มาข้อมูล : Jitta Wealth
ที่มารูปภาพ : Jitta Wealth

ธนวัน ปันทะโชติ