หุ้นทั่วโลกถูกเทขาย ทอง บิทคอยน์ก็ไม่รอด I WEALTH LIVE วันที่ 11 มีนาคม 2568

ตลาดหุ้นโลกเผชิญความไม่แน่นอน นักลงทุนจับตาทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ-จีน

ภาวะตลาดหุ้นโลก: ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นกดดันการลงทุน


นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ให้สัมภาษณ์ในรายการ WEALTH LIVE ถึงภาวะตลาดหุ้นโลกในปัจจุบันว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญความเสี่ยงหลายด้านที่ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรและการพักฐาน

สรุปข่าว

ตลาดหุ้นโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการเงินของสหรัฐและภาวะเศรษฐกิจจีน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยแม้จะยังเผชิญแรงกดดันอยู่ แต่เริ่มมีโอกาสด้าน Valuation ปรากฏขึ้น นักลงทุนควรจับตาปัจจัยแวดล้อมอย่างใกล้ชิดและเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง

"หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll) ล่าสุดออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐกำลังอ่อนแอลง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ภาครัฐมีการปลดพนักงานเพิ่มเติม ทำให้แรงกดดันต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น" นายณรงค์เดชกล่าว

อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือ ทิศทางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งแม้ตลาดเคยคาดว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยได้เร็วในปีนี้ แต่สัญญาณล่าสุดจาก Fed ระบุว่า อาจต้องประเมินสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญความผันผวน

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนก็เผชิญความกดดันเช่นกัน หลังจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ล่าสุดกลับมาติดลบอีกครั้ง สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างที่คาด ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ตลาดหุ้นไทย: ปัจจัยกดดันยังอยู่ แต่โอกาสเริ่มชัดเจน

สำหรับตลาดหุ้นไทย แม้ว่าภาพรวมจะปรับตัวลดลง แต่แรงขายในช่วงนี้ไม่ได้รุนแรงเท่ากับตลาดหุ้นหลักอื่น ๆ

"เราต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะขาลงมาเป็นเวลานานแล้ว ปัจจัยหลักที่กดดันคือ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำ และค่า P/E ของตลาดที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม หากดัชนี SET ลงไปสู่ระดับ 1,000 จุด หรือต่ำกว่านั้น เช่น 970 จุด จะเริ่มเห็นความน่าสนใจในแง่ของ Valuation มากขึ้น" นายณรงค์เดชอธิบาย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเชิงบวกในระยะสั้น ได้แก่ การที่กระทรวงการคลังเตรียมออกกองทุนใหม่เพื่อสนับสนุนการลงทุน ซึ่งอาจช่วยจำกัด Downside ของตลาดได้บ้าง แต่ยังไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ดึงดูดเม็ดเงินใหม่เข้ามา

แนวโน้มตลาดและกลยุทธ์การลงทุน

ในแง่ของปัจจัยเทคนิค หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเร็ว โอกาสที่ตลาดจะเกิดการรีบาวด์ก็จะเร็วขึ้น โดยนายณรงค์เดชมองว่า หากดัชนีลงไปใกล้ระดับ 970 จุด นักลงทุนอาจเริ่มพิจารณาเข้าสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี

"สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างคล้ายกับช่วงโควิด หากตลาดปรับฐานลงแรงในช่วงสั้น ก็อาจมีโอกาสเกิด Technical Rebound ได้เร็ว แต่หากตลาดค่อย ๆ ปรับตัวลงไปเรื่อย ๆ ก็อาจใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวได้"