Scenario ตลาดหุ้นไทย แย่สุดอาจเห็น 670 จุด I WEALTH LIVE

PE Ratio ยังไม่ถูก อาจมีโอกาสลงได้อีก

ปัจจุบัน SET Index อยู่ที่ 1,576 จุด โดยมีค่า PE Ratio ที่ 15.9 เท่า ซึ่งยังไม่ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับรอบวิกฤตในอดีต ไม่ว่าจะเป็นช่วงต้มยำกุ้งที่ PE ลดลงเหลือ 4 เท่า หรือ Hamburger Crisis ที่ต่ำสุดอยู่ที่ 6 เท่า คุณซันระบุว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ PE Ratio ดูสูงกว่าความเป็นจริงคือหุ้น Delta ซึ่งมี PE สูงถึง 50 เท่า ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยตลาดผิดเพี้ยน

3 Scenario ตลาดหุ้นไทยปีนี้

1. Worst Case (เลวร้ายที่สุด): SET อาจร่วงลงไปแตะระดับ 670 จุด โดยมี PE เหลือเพียง 8 เท่า ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเกิดวิกฤตที่ไม่คาดคิด เช่น วิกฤตโรคระบาดหรือสงครามที่รุนแรง

2. Standard Case (แนวโน้มหลัก): ตลาดมีโอกาสปรับฐานลงมาแถว 1,000 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงโควิด โดย PE จะอยู่ที่ 13 เท่า

3. Best Case (ดีที่สุด): ตลาดอาจเด้งกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,200 จุด ได้ หากมีแรงซื้อกลับเข้ามาและสามารถทะลุแนวต้านสำคัญ

เงินทุนต่างชาติไหลออก รายย่อยหมดศรัทธา

แรงขายของนักลงทุนต่างชาติยังคงกดดันตลาด โดยมีลักษณะ "ขาย 3 วัน ซื้อ 1 วัน" ขณะที่นักลงทุนสถาบันแม้จะมีมาตรการหนุนจากรัฐบาล เช่น การลดภาษีเมื่อลงทุนผ่านกองทุนใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้ ส่วนรายย่อยที่ถือหุ้นอยู่ส่วนใหญ่ติดดอย ขาดกำลังซื้อ และบางส่วนอาจหมดศรัทธาตลาดหุ้นไปแล้ว

กลยุทธ์การลงทุน: คัดหุ้นให้เป็น อยู่รอดในตลาดขาลง

คุณซันแนะนำว่านักลงทุนต้องจำแนกหุ้นออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

• Outperform: หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด เช่น กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK, SCB, KTB, TTB, TISCO) ซึ่งยังมีแนวโน้มเป็น Safe Haven

• ตามตลาด: หุ้นที่เคลื่อนไหวไปตาม SET

• Underperform: หุ้นที่อ่อนแอกว่าตลาด ซึ่งควรหลีกเลี่ยง

สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ควรจับตาหุ้นที่เริ่มมีสัญญาณกลับตัว (Reversal Pattern) เช่น กลุ่มปิโตรเคมี (SCC, PTTGC, IVL) ซึ่งเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา

ตลาดยังไม่แน่นอน เตรียมรับมือกับความผันผวน