เจาะลึกจุดซื้อขาย หุ้น ทองคำ บิทคอยน์ I WEALTH LIVE วันที่ 4 มีนาคม 2568

คุณณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ให้สัมภาษณ์ในรายการ WEALTH LIVE วันที่ 4 มีนาคม 2568 ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน โดยระบุว่าดัชนี SET ยังมีความเสี่ยงในการปรับฐานลงต่อเนื่องจากปัจจัยด้าน Valuation และแนวโน้มผลประกอบการที่ถูกปรับลดลง

สรุปข่าว

ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อจาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มผลประกอบการที่ถูกปรับลดลง อีกทั้งปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ยังคงกดดันตลาด นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังและเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานดี พร้อมติดตามจังหวะการเข้าซื้อที่เหมาะสมในช่วงที่ตลาดปรับฐานลงสู่ระดับที่น่าสนใจ

Valuation ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาค

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 1,200 จุด แต่ในเชิงของ Forward P/E ยังคงสูงกว่าหลายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า Forward P/E ของไทยอยู่ที่ประมาณ 12.7 เท่า ซึ่งยังสูงกว่าดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงที่อยู่ราว 11 เท่า และยังอยู่ในระดับที่แพงกว่าตลาดสิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจาการ์ตา

นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยยังถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ระบุว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยลดลงเรื่อย ๆ หลังจากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2566 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้การคาดการณ์ EPS สำหรับไตรมาส 1 และ 2/2567 ถูกปรับลดลงเช่นกัน

แนวโน้มทางเทคนิคส่งสัญญาณขาลงต่อเนื่อง

ในเชิงเทคนิค ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงมาต่อเนื่องจนหลุดแนวรับสำคัญที่เคยเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว ซึ่งการหลุดแนวรับดังกล่าวทำให้โอกาสในการปรับฐานลงไปยังระดับ 1,000 จุดเปิดกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ หากพิจารณาจากโมเดล Valuation เมื่ออิงกับ EPS คาดการณ์ที่ 96 บาท และ Forward P/E ที่อาจปรับลดลงไปถึงระดับ 10-10.5 เท่า จะสอดคล้องกับดัชนี SET ที่ระดับประมาณ 1,000 จุด

หากตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายอย่างรุนแรงและราคาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เนื่องจาก Valuation จะเข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม หากตลาดยังคงปรับตัวลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะเป็นแนวโน้มที่ซึมลงต่อเนื่องและกินระยะเวลานาน

ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกและแนวโน้มเศรษฐกิจ

นอกเหนือจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะสงครามการค้าและการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม ซึ่งอาจกระทบต่อการค้าในภูมิภาค รวมถึงไทยที่อยู่ในกลุ่มประเทศ Tier 2 ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้

นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค โดยในปี 2566 GDP ไทยเติบโตเพียง 2% กว่า ๆ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนเติบโตในระดับ 4-6% ทำให้แนวโน้มในระยะยาวของตลาดหุ้นไทยอาจถูกลดระดับลงไปอีก

เน้น Selective Play และเล่นรอบระยะสั้น

ท่ามกลางความผันผวนและขาดปัจจัยหนุนที่ชัดเจน นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์การเลือกหุ้นรายตัว (Selective Play) และลงทุนในระยะสั้นมากขึ้น โดยเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและผลประกอบการที่ยังเติบโตได้ดี

ช่วงที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคาร เช่น KBANK, SCB และ BBL มีการปรับตัวขึ้นจากแรงเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มตลาดที่ยังอ่อนแอ นักลงทุนควรจับตาดูจังหวะการเข้าซื้อ และเฝ้าระวังแรงขายทำกำไรที่อาจเกิดขึ้น