สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชอละตัวในปีนี้ เนื่องจากประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังคงผลักดันมาตรการภาษีที่เข้มงวด แต่ไม่คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
จูลี โคแซค โฆษกของ IMF เผยว่าาเศรษฐกิจที่เคยเติบโตเร็วในปี 2024 เริ่มชะลอตัวลงแล้ว สะท้อนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญเกิดขึ้น และข้อมูลใหม่ๆ ที่เข้ามา แต่ IMF ก็ยังไม่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงถึงขั้น "ถดถอย"
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเติบโตได้ดีเกินกว่าที่ IMF เคยคาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับเดือนมกราคม โดยเศรษฐกิจสหรัฐยังคง "แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ" แม้ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อปีที่แล้ว
สรุปข่าว
นอกจากนี้ ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะเติบโต 2.7% ในปีนี้ หลังจากที่เติบโต 2.8% ในปีที่แล้ว โดย IMF จะเปิดเผยตัวเลขประมาณการณ์ใหม่ในรายงาน "World Economic Outlook" หรือ WEO ในวันที่ 22 เม.ย.ที่จะถึงนี้
IMF ยังได้ประเมินผลกระทบจากแผนภาษีของ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่ในอัตรา 25% เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา
โคแซคกล่าวว่า หากภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกยังคงดำเนินต่อไป จะส่งผลเสียอย่างมากต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศนี้ แต่โคแซคไม่ได้ให้รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับผลกระทบดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม IMF ยังคงดำเนินการประเมินผลกระทบจากประกาศการเก็บภาษีต่างๆ ของทรัมป์ที่มีต่อภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยจะถูกรวมอยู่ในรายงานฉบับต่อไปของ IMF ที่ชื่อว่า "รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลก" ซึ่งจะออกมาในช่วงปลายเดือนเมษายน ซึ่งมีการระบุชัดว่ามีมาตรการอะไรบ้างที่นำมาพิจารณาในการประเมินแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ชาคร หนูคงใหม่
โจ