"เจพี มอร์แกน"คาดศก.สหรัฐฯ เสี่ยงถดถอย

บรูซ คาสแมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเจพี มอร์แกน (J.P. Morgan) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสถึง 40% ที่จะถดถอยในปีนี้ และยังมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียสถานะการเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุน หากรัฐบาลทำลายความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ประสบภาวะขายทิ้งอย่างรุนแรงที่สุดในรอบหลายเดือน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวด้วยการเก็บภาษีนำเข้า ขณะที่ 95% ของนักเศรษฐศาสตร์ในผลสำรวจรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากแคนาดา เม็กซิโก และสหรัฐฯ ระบุว่าความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศของพวกเขาเพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากภาษีนำเข้าของทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ลงเหลือ 1.7% และ 1.5% ในปีนี้ ตามลำดับ



สรุปข่าว

"เจพี มอร์แกน" คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงถดถอย 40% จากนโยบาย "ทรัมป์"

คาสแมน กล่าวว่า ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยอาจเพิ่มขึ้นถึง 50% หรือมากกว่า หากสหรัฐฯ เดินหน้ามาตรการภาษีตอบโต้ที่ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะบังคับใช้ในเดือนเม.ย. โดยระบุอีกว่า "หากเรายังคงเดินหน้าใช้นโยบายที่สร้างความปั่นป่วนและไม่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจ ผมคิดว่าความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเพิ่มสูงขึ้น"

ทั้งนี้ ความอึดอัดเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารของรัฐบาลอาจสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสินทรัพย์ของสหรัฐฯ หากกระทบต่อความไว้วางใจที่ตลาดและสถาบันของสหรัฐฯ สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี


การลดงบประมาณของหน่วยงานรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลก และการตัดสินใจต่าง ๆ เช่น การยุบคณะกรรมการที่ปรึกษาซึ่งช่วยในการเก็บข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาจทำลายความเชื่อมั่นดังกล่าวได้ และทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความไม่แน่นอนที่ได้แทรกซึมเข้าสู่นโยบายสหรัฐฯ และผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงด้านนี้ที่จะส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ 

คาสแมน ระบุว่า คำที่ใช้กันมานานคือ สหรัฐฯ มีสิทธิพิเศษเหนือประเทศอื่น (exorbitant privilege) ซึ่งทำให้เราจ่ายต้นทุนต่ำกว่ามากในการจัดหาเงินทุนสำหรับการขาดดุลและหนี้สินของเรา เรามีกระแสเงินทุนไหลเข้ามามากกว่า และค่าเงินดอลลาร์รวมถึงสินทรัพย์ของเรามีความน่าดึงดูดมากกว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะปัจจัยที่กล่าวมา" 

ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวรอยเตอร์

ที่มารูปภาพ : TNN