สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากร ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อัตราร้อยละ 25 ที่จะใช้กับ 2 ประเทศเพื่อนบ้าน คือ เม็กซิโก และแคนาดา จะกระทบต่อการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ อีกทั้ง จะส่งผลให้ราคารถยนต์ที่สูงเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากทั้ง 3 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก และในกระบวนการผลิตส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์บางส่วนอาจต้องข้ามพรมแดนของสหรัฐฯ ไปมาอยู่หลายครั้ง และอาจมากถึง 8 ครั้ง จะทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า จากมาตรการภาษีใหม่นี้
ซึ่งนักวิเคราะห์จาก โวล์ฟ รีเสิร์ช (Wolfe Research) ให้ความเห็นว่า ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น จะถูกผลักดันไปสู่ผู้บริโภค และส่งผลให้ราคารถยนต์อาจพุ่งสูงขึ้นอีก เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคัน หรือกว่า 100,000 บาท และจะทำให้ความสามารถในการซื้อรถยนต์ในสหรัฐฯ ที่ตึงตัวอยู่แล้ว จะยิ่งตึงตัวมากขึ้นไปอีก เนื่องจากระดับราคาปัจจุบัน ก็ใกล้เคียงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว
ด้าน อรุนา อนันด์ (Aruna Anand) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ อเมริกาเหนือ ของ คอนทิเนนทัล เอจี (Continental AG) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ กล่าวว่า อัตราภาษีศุลกากรใหม่ จะส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่คำถามต่อไปคือ เราจะสามารถรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ หรืออาจจะถูกผลักไปยังผู้บริโภคปลายทาง
ในทำนองเดียวกัน ตามการวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษา อลิกซ์ พาร์ทเนอร์ (AlixPartners) ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบทันที กับรถยนต์ สัดส่วน 1 ใน 4 จากจำนวน 16 ล้านคัน ที่ขายในสหรัฐ แต่ละปี รวมถึงกระทบกับชิ้นส่วนและส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิต เพราะ สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดนำเข้า และปี 2024 ที่ผ่านมา มีมูลค่านำเข้าประมาณ 225,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น หากภาษีศุลกากรใหม่ มีผลบังคับใช้ ก็จะเพิ่มต้นทุนให้กับอุตสาหกรรมฯ ดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าราว 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานี้ มีแนวโน้มว่าจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค ต่อไป
ด้าน ไมเคิล โรบิเนต (Michael Robinet) รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ ของ เอสแอนด์พี โกลบอล โมบิลิตี้ ให้ความเห็นว่า ผู้ผลิตรถยนต์ มีแนวโน้มที่จะลดการผลิตลงในทันที หากภาษีศุลกากรเริ่มมีผลบังคับใช้ เพราะหากยังผลิตยานยนต์ในปริมาณเท่าเดิม จะทำให้ผู้ผลิตฯ มีความเสี่ยงที่จะต้องขนส่งยานยนต์เหล่านั้นไปยังสหรัฐฯ และจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถ ขณะที่ ผู้บริโภคก็จะรอจนกว่าภาษีจะถูกยกเลิก
นั่นส่งผลให้ทั้งการผลิต และการขายรถยนต์จะชะลอตัวลง
สรุปข่าว
บลูมเบิร์ก รายงานอีกด้วยว่า ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในอเมริกาเหนือ ไม่ว่าจะเป็น วินด์เซอร์ (Windsor), ออนแทริโอ (Ontario) และ ดีทรอยต์ (Detroit) รวมถึง อีกหลายแห่งทั่วเม็กซิโก จะได้รับผลกระทบในทันที และจะกระทบกับแรงงานจำนวนมาก
โดย จอห์น ดักโนโล (John D’Agnolo) ประธานสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนงานในโรงงานเครื่องยนต์ ฟอร์ด ที่เมือง วินด์เซอร์ ในแคนาดา แสดงความกังวลว่า ภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อแรงงานให้ต้องสูญเสียงานอีกหลายพันตำแหน่ง และอาจทำให้เมืองนี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์และศูนย์กลางเศรษฐกิจ กลายเป็นเมืองร้างไป หากไม่มีการจ้างงานจากโรงงานแห่งนี้อีก
ส่วน ดั๊ก ฟอร์ด (Doug Ford) ผู้ว่าการรัฐออนแทริโอ ในแคนาดา เตือนว่า อาจจะมีการสูญเสียตำแหน่งงาน มากกว่า 500,000 ตำแหน่ง ในเมืองที่มีประชากรอยู่หนาแน่นมากที่สุดของแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์
ด้าน ฟรานซิสโก กอนซาเลซ (Francisco González) ประธานบริหาร สมาคมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์แห่งชาติ เม็กซิโก (INA) กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่การจัดเก็บภาษีศุลกากร เริ่มมีผลบังคับใช้กับเม็กซิโก ก็มีแนวโน้มว่า ปีนี้ ภาคชิ้นส่วนรถยนต์ของประเทศ จะไม่เติบโต หรือมีอัตราเป็น ศูนย์ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 2
โดยอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ของเม็กซิโกเมื่อปีที่แล้ว มียอดขายราว 124,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในส่วนนี้ร้อยละ 52.3 ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกา
และตั้งข้อสังเกตอีกว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับมาตรการดังกล่าวในระยะสั้นได้
ส่วนประเด็นความกังวลที่ว่า มีชิ้นส่วนรถยนต์ของจีนถูกส่งเข้าไปยังสหรัฐฯ ผ่านเม็กซิโกนั้น นาย ฟรานซิสโก กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกินความเป็นจริง เพราะว่าชิ้นส่วนที่ขายในเม็กซิโก นำเข้าจากจีนไม่ถึงร้อยละ 3 เท่านั้น
ด้าน นิเคอิ เอเชีย รายงานการวิเคราะห์จาก โนมูระ ซีเคียวริตี้ ที่คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐ อาจสูญเสียกำไรกว่า 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นผลกระทบจากการกำหนดอัตราภาษีศุลการใหม่ของสหรัฐฯ
โดย อนินเดีย ดาส นักวิเคราะห์จาก โนมูระ ซีเคียวริตี้ กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ หลายราย ได้ขยายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโก เพื่อประหยัดต้นทุน และได้รับประโยชน์ทางการค้าภายใต้ข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา ทั้งคาดการณ์ว่า ภาษีศุลกากรใหม่ จะทำให้อุตสาหกรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ต้องสูญเสียกำไร หรือกำไรจากการดำเนินงานลดลง เป็นมูลค่ากว่า 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยแบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบ ซึ่งรวมถึง นิสสัน มอเตอร์ ที่ส่งออกรถยนต์ของบริษัทประมาณร้อยละ 27 จากเม็กซิโก ไปสหรัฐฯ ขณะที่ ฮอนด้า มอเตอร์ มีสัดส่วน ร้อยละ 13 และโตโยต้า ร้อยละ 8 ซึ่งหากพิจารณาว่าเม็กซิโก นำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ครึ่งหนึ่งจากสหรัฐ ดังนั้น การกำหนดภาษีใหม่ครั้งนี้ ก็อาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงมากขึ้นทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรอัตราร้อยละ 25 ออกไปเป็นระยะเวลา 30 วัน สำหรับเม็กซิโก และแคนาดา จากเดิมจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025
โดย รอยเตอร์ส รายงานว่า การเลื่อนดังกล่าว เพื่อแลกกับการที่รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ตกลงที่จะบังคับใช้กฎหมายคุมเข้มบริเวณชายแดนตามข้อเรียกร้องของทรัมป์ ในการปราบปรามการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และสกัดการไหลเข้าของยาเสพติด
รอยเตอร์ส รายงานด้วยว่า ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป ซึ่งประกอบด้วย 27 ประเทศ อาจเป็นเป้าหมายต่อไปในแผนมาตรการภาษี แต่ยังไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่อังกฤษ ซึ่งออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปไปก่อนหน้า อาจรอดพ้นจากมาตรการดังกล่าวนี้